การเมืองทั่วไป

"พีระพันธุ์" ค้าน ยุบสภากลางศึก ชี้นายกฯควรมีอำนาจเต็มแก้วิกฤต แนะ "ไทย-กัมพูชา" เปิดทางให้ทหารลุย! จี้รื้อเขื่อนรุกทะเล-ยกเลิก MOU 44

แชร์ข่าว

วันที่ 13 ธ.ค.68 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ" ทางไทยรัฐทีวี เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ถึงสถานการณ์การเมืองภายหลังการยุบสภาท่ามกลางความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า เดิมทีได้ประเมินไว้ว่านายกรัฐมนตรีอาจจะยุบสภาในช่วงวันที่ 12-13 ธันวาคมนี้ เนื่องจากคาดว่าพรรคเพื่อไทยจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณว่าจะยังไม่ยื่นอภิปราย และมีข่าวว่าจะไปยุบในช่วงกลางเดือนมกราคม ทำให้ตนคิดว่าเหตุการณ์ยุบสภาจะไม่เกิดขึ้นในวันที่ 12-13 ธันวาคม 2568

แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อพรรคประชาชนใช้เงื่อนไขเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่ผ่านความเห็นชอบมากดดัน และเรียกร้องให้ยุบสภา ซึ่งตนมองว่าไม่ใช่เหตุผลที่เหมาะสมในการยุบสภา เนื่องจากขณะนี้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนและอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการที่มีข้อจำกัดทางกฎหมายและอำนาจหน้าที่

"ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะบอกว่า สิ่งที่ผมอยากได้คือเรื่องนี้ ถ้าไม่ได้ นายกยุบสภาเถอะ แต่ท่านบอกว่าเกิดปัญหาเรื่องโหวตรัฐธรรมนูญที่ท่านต้องการ เมื่อเป็นอย่างนี้ให้นายกยุบสภา ไม่ได้พูดถึงการยุบสภาเนื่องจากรัฐบาลบริหารไม่ได้ กลายเป็นว่า ยุบสภาเพราะไม่ได้อย่างที่ต้องการทางการเมือง ผมว่าวิธีการทำงานการเมืองแบบนี้ไม่ถูกต้อง"

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หากตนอยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่ตัดสินใจยุบสภาแต่จะขอเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบในสภาแทน โดยระบุว่า "ถ้าผมเป็นท่านนายก ผมยอมเข้าสู่สนามอภิปราย ประชาชนรู้เองว่าที่ผมถูกไม่ไว้วางใจเพราะคะแนนผมไม่พออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต้องให้ประชาชนเห็นคือว่า วันนี้ผมยอมตาย ดีกว่าประเทศชาติมีปัญหา ผมจะต้องสูญเสียอำนาจไม่เป็นไร แต่ผมต้องปกป้องประเทศก่อน"

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการท่ามกลางภาวะสงครามและภัยพิบัติจะทำให้การสั่งการช่วยเหลือประชาชนและการสนับสนุนกองทัพทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และมีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาเรื่องการกระทำเพื่อคะแนนเสียง แล้วมีการร้องเรียนเพื่อใช้กฎหมายเลือกตั้งตามมา ซึ่งต่างจากการมีอำนาจเต็มที่สามารถดูแลสถานการณ์ได้เบ็ดเสร็จกว่า

ในประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา นายพีระพันธุ์ได้ย้อนความหลังถึงมูลเหตุของปัญหาตั้งแต่ปี 2505 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยย้ำข้อเท็จจริงว่าศาลโลกตัดสินให้เฉพาะ "ตัวปราสาทพระวิหาร" เป็นของกัมพูชา ไม่รวมถึงแผ่นดินรอบปราสาทที่ไทยได้ล้อมรั้วลวดหนามไว้ แต่ปัญหาที่คาราคาซังจนถึงปัจจุบันเกิดจากการเมืองภายในของกัมพูชาในอดีต (เขมรสามฝ่าย) ที่มีการสู้รบและหนีภัยเข้ามาในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร แต่รัฐบาลไทยไม่ต้องการมีส่วนในความขัดแย้งนี้ จึงถอยร่นออกจากพื้นที่ แต่หลังจากการสู้รบของกัมพูชาแล้วเสร็จ ไทยไม่ได้กลับเข้าพื้นที่เขาพระวิหารดังเดิม กัมพูชาจึงตั้งต้นอาศัยในพื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่คืนพื้นที่ให้ไทย โดยใช้ยุทธวิธี "โลกล้อมไทย"

"เขาใช้วิธีเอาโลกล้อมไทย คือไปเวทีโลกแล้วจุดชนวนตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้เป็นประเด็น เขาเตรียมการมาอย่างนี้ตลอด แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่เคยเตรียมการรับมือกับเขาตรงนั้น เขาจึงได้เปรียบเราบนเวทีโลกตลอดเวลาที่ผ่านมา เพิ่งจะมียุคนี้ที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศท่านพยายามจะสู้ อันนี้ผมยอมรับว่าดี ผมเห็นด้วย เพราะที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศแทบจะไม่ได้เล่นบทบาทนี้เลย"

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถ้าต้องการให้ความขัดแย้งนี้จบลง ต้องให้ทหารของไทยยึดพื้นที่ของไทยกลับมาทั้งหมดก่อน ไม่ใช่ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ จะทำให้ความขัดแย้งไม่จบ เมื่อยึดคืนพื้นที่ได้ทั้งหมดแล้ว ค่อยเจรจากับกัมพูชาจัดแจงพื้นที่ตามความเป็นจริงในแผนที่ 1: 50,000 ดังนั้น ถึงเวลาที่ต้องปล่อยให้กองทัพเดินหน้าปฏิบัติการทางยุทธวิธีอย่างเต็มที่โดยฝ่ายการเมืองไม่ต้องไปยับยั้ง

"ถ้าจะให้จบ ต้องปล่อยทหารเดินหน้าครับ อย่าไปเบรกเขา แล้วเอาพื้นที่ที่รุกได้มาเจรจากัน ถ้าเราไม่มีความได้เปรียบในมือ เจรจายังไงก็ไม่จบ ต้องยึดพื้นที่กลับมาเพื่อใช้เป็นอำนาจต่อรองให้กัมพูชายอมรับเส้นเขตแดนที่ถูกต้อง"

นอกจากนี้ นายพีระพันธุ์ยังเปิดเผยประเด็นการถมแนวกันคลื่นของกัมพูชาบริเวณหลังหลักเขตที่ 73 ว่า เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีความเชื่อมโยงกับปัญหาเขตแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา และพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน เพราะแผ่นดินมีแผ่นดินเดียว ต้นตอของปัญหานี้เกิดขึ้นเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติใต้ท้องทะเล ได้แก่ แก๊ส และน้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่ประเทศไทยกำลังจะพัฒนาอยู่ โดยกัมพูชาพยายามที่จะเล่นเกมการเจรจาต่อรอง และต้องการได้ผลประโยชน์จากบริเวณนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ MOU 44

"กัมพูชาได้ดำเนินการถมเขื่อนเข้าไปในทะเลเป็นระยะทางร้อยเมตร โดยมีการอ้างจุดประสงค์ว่าเป็นการสร้างเพื่อบังคลื่น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการพยายามแย่งชิงทรัพยากร การสร้างแนวกันคลื่นนี้ใช้เวลานาน และทางรัฐบาลไทยปล่อยให้มีการดำเนินการมาโดยตลอด ปัญหานี้มีที่มาตั้งแต่ช่วงก่อนปี 2550 และรัฐบาลไทยเคยประท้วงการกระทำดังกล่าวถึงสองรอบ คือในปี 2541 และปี 2564 โดยตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศได้ระบุว่า สิ่งใดก็ตามที่เชื่อมติดกับแผ่นดินใหญ่และขยายเข้าไปในทะเลจะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน การที่กัมพูชาตีเส้นเขตแดนของตนเองขึ้นมาใหม่โดยไม่ใช้หลักสากล ทำให้เกิดพื้นที่สามเหลี่ยมที่เป็นปัญหาอ้างสิทธิ์ในทะเลขึ้นมา"

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางป้องกันแก้ไขและเป้าหมายที่ควรดำเนินการนั้น ต้องใช้ความเด็ดขาด หากใช้เพียงวิธีการประท้วงและการพึ่งพาเวทีสากลระหว่างประเทศเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถเอาชนะได้ โดยควรให้มีการทำลายหรือรื้อถอนเขื่อนดังกล่าวทิ้งทันที และหากกัมพูชาสามารถถมได้ ไทยก็ควรจะถมได้เช่นกัน เพื่อเป็นการตอบโต้ นอกจากนี้ สิ่งที่เกี่ยวข้องคือ MOU 44 ที่เป็นเรื่องของทะเล ควรถูกยกเลิกทั้ง MOU 43 และ 44 เนื่องจากเส้นเขตแดนสากลกำหนดแนวแบ่งเขตอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีการเจรจาปักปันใหม่ เป้าหมายคือการรักษาแหล่งทรัพยากรพลังงานในทะเลของไทยเอาไว้ และยุติปัญหาที่ยืดเยื้อมานาน

"การแก้ปัญหาชายแดนโดยรวมจำเป็นต้องประสานงานกันทั้งกองทัพ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงต่างประเทศ การตัดสินใจของรัฐบาลที่เข้มแข็งและมีอำนาจเต็มกำลังจะช่วยเซฟและผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งต่างจากรัฐบาลรักษาการที่มีอำนาจจำกัดและล่อแหลมต่อการผิดกฎหมาย ซึ่งหากประเทศไทยขาดความเด็ดขาดและปล่อยให้กัมพูชาได้เปรียบต่อไป ปัญหาในทะเลก็จะตามมาอีก" นายพีระพันธุ์ กล่าว