การเมืองทั่วไป

กองทัพบก สวนกลับกัมพูชา ยันข้อกล่าวหาเท็จ–ข้อมูลบิดเบือน ไทยไม่เคยโจมตีพลเรือน ปฏิบัติตามกติกาสากลอย่างเคร่งครัด

แชร์ข่าว

กองทัพบกสวนกลับกัมพูชา กล่าวหาเท็จ–ข้อมูลบิดเบือน ย้ำไทยไม่เคยโจมตีพลเรือน และปฏิบัติตามกติกาสากลทุกประการ

พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่าจากถ้อยแถลงของพลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เมื่อ 11 ธ.ค.68 เป็นการกล่าวที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงทุกประเด็น ดังนี้

ประเด็นที่ 1 กล่าวว่าหากไม่มีการดำเนินการเอาผิดกองทัพไทยต่อการกระทำที่ผิดกฎหมาย พรุ่งนี้กองทัพไทยอาจทำเช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ การกระทำเช่นนี้จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

ยืนยันว่ากองทัพไทยไม่เคยกระทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ หรือฝ่าฝืนกติกาสากล เป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่กระทำผิดกฎหมายสากลมาโดยตลอด สิ่งที่ฝ่ายไทยจำเป็นต้องปฏิบัติต่อกัมพูชาเช่นนี้ เป็นเพราะกัมพูชาเองเป็นผู้บีบบังคับ และมั่นใจว่าไม่เคยมีประเทศไหนปฏิบัติต่อประเทศไทยในแบบที่กัมพูชาได้กระทำ

ประเด็นที่ 2 กระทรวงกลาโหมกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีและไร้มูลความจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งกลายเป็นนิสัยของกองทัพไทยที่ใช้เป็นข้ออ้างเพื่อสนองความทะเยอทะยานในการรุกล้ำอธิปไตยอันชอบธรรมของกัมพูชา

ฝ่ายไทยไม่เคยใส่ร้ายใคร ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ทุกอย่างมีหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน และไม่ได้กระทำการใดๆ ด้วยความทะเยอทะยาน ทุกการกระทำจะอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความจำเป็นโดยชอบธรรม เพื่อตอบโต้ผู้ที่มารุกล้ำอธิปไตย

ประเด็นที่3 นับตั้งแต่กองทัพไทยเปิดฉากโจมตีอย่างผิดกฎหมาย ละเมิดเงื่อนไขข้อตกลงหยุดยิงและแถลงการณ์ร่วม ระหว่างกัมพูชาและไทย ฝ่ายไทยก็ยุติข้อตกลงเหล่านี้เพียงฝ่ายเดียว ในทางกลับกัน ฝ่ายกัมพูชายังคงให้คำมั่นจะเคารพข้อตกลงเหล่านี้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า กัมพูชาหรือไทยกันแน่ ที่รักสันติภาพแท้จริงและต้องการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ

ฝ่ายไทยไม่ได้เป็นผู้เปิดฉากยิง ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เปิดฉากยิงกำลังพลฝ่ายไทยก่อน เมื่อ 7 ธ.ค.68 ส่งผลให้กำลังพลบาดเจ็บ 2 นาย และช่วงก่อนหน้า ในระหว่างที่มีข้อตกลงหยุดยิง และแถลงการณ์ร่วม ระหว่างไทย - กัมพูชา กัมพูชาเป็นผู้ที่ละเมิดเงื่อนไขมาโดยตลอด โดยเฉพาะการลักลอบวางทุนระเบิดเพื่อทำร้ายกำลังพลฝ่ายไทย จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ากัมพูชาไม่ใช่ผู้ที่รักในสันติภาพแท้จริง

ประเด็นที่ 4 กองทัพไทยได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยใช้เครื่องบินรบ F-16 ทิ้งระเบิดในพื้นที่พลเรือน การใช้แก๊สพิษ การทำลายโบราณสถาน เช่น ปราสาทพระวิหารและปราสาทตาควาย การใช้อาวุธหนักทุกชนิดอย่างไม่เลือกเป้าหมาย และการฆ่าและทำร้ายพลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก

กองทัพไทยไม่ได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ การใช้เครื่องบิน F-16 เพื่อปล่อยอาวุธทำลายเป้าหมายทางทหาร ในแบบจำกัดวงความเสียหาย ซึ่งในภาพรวมการใช้อาวุธในทางทหาร ของฝ่ายไทยจะกระทำเฉพาะเป้าหมายในทางทหารเท่านั้น ไม่มีเป้าหมายพลเรือนอย่างที่กัมพูชาพยายามบิดเบือน รวมถึงไม่มีการใช้แก๊สพิษ หรืออาวุธเคมีอย่างที่กล่าวหา โดยเฉพาะไม่มีเหตุผล ความจำเป็นใดที่จะไปโจมตีเป้าหมายพลเรือน

รวมถึงพื้นที่ปราสาทตาควาย และ พื้นที่ปราสาทพระวิหาร ที่ถูกฝ่ายกัมพูชานำมาใช้ เพื่อการปฏิบัติการทางทหารชัดเจน โดยใช้เป็นที่ตั้งระบบอาวุธยิง เป็นคลังเก็บกระสุนวัตถุระเบิด และทุ่นระเบิด สำหรับใช้โจมตีทำร้ายฝ่ายไทย ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพปรากฏให้เห็นอยู่ตามสื่อโซเชี่ยลได้ทั่วไป จึงควรเป็นฝ่ายกัมพูชาเองที่เป็นฝ่ายที่ทำผิดกฎหมายมนุษยธรรม และทำผิดกติกาสากลเอง รวมถึงเป็นฝ่ายที่ไม่เห็นคุณค่าในมรดกทางวัฒนธรรม มีผลทำให้พื้นที่ดังกล่าวจึงเข้าข่าย เป็นพื้นที่ที่ “สูญเสียความคุ้มครองชั่วคราว” ตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954

ประเด็นที่ 5 ประชาคมระหว่างประเทศจะไม่นิ่งเฉยและปล่อยให้ประเทศที่เลือกที่จะข่มขู่และใช้กำลังโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายระหว่างประเทศกระทำการเช่นนั้นต่อไปโดยไม่ถูกลงโทษ

ประชาคมระหว่างประเทศจะต้องไม่นิ่งเฉย ต่อสิ่งที่กัมพูชาได้กระทำ เช่น การนำกำลังเข้ารุกล้ำอธิปไตยประเทศไทย และการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล รวมถึงการพยายามบิดเบือนข่าวสาร เพื่อทำลายภาพลักษณ์ประเทศไทย

ประเด็นที่ 6 เรียกร้องให้ฝ่ายไทยยุติการโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย โดยเฉพาะต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน สถานที่ทางประวัติศาสตร์ และยุติการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ

ขอยืนยันว่าฝ่ายไทยใช้อาวุธต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ขอกัมพูชาอย่ากล่าวอ้างบิดเบือน และขอให้อยู่กับความเป็นจริง คำโกหกใส่ร้ายของกัมพูชา จะไม่น่าเชื่ออีกต่อไป

โฆษกกองทัพบกกล่าวเพิ่มเติมว่า แถลงการณ์ฉบับนี้ก็เป็นถ้อยแถลงที่บิดเบือนข้อเท็จจริงอีกฉบับหนึ่ง ที่พยายามใส่ร้ายป้ายสีประเทศไทยโดยปราศจากข้อเท็จจริงรองรับ ขอให้ฝ่ายกัมพูชาหยุดพฤติกรรมดังกล่าวทันที และหันมายึดหลักความจริงกับกติกาสากล

แชร์ข่าว