วันที่ 4 ธ.ค.68 นางสาวประภาลักษณ์ สิทธิ พรรคไทยสร้างไทย จังหวัดหนองบัวลำภู กล่าวถึงสถานการณ์ราคาน้ำอ้อยที่กำลังเป็นปัญหาหลักในหลายจังหวัดภาคอีสาน ภายหลังคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายมีมติกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูผลิต 2568/2569 ไว้ที่ 890 บาทต่อตัน ซึ่งสร้างเสียงไม่พอใจในหมู่ชาวไร่อ้อยทั่วประเทศ โดยเฉพาะในจังหวัดหนองบัวลำภูที่มีพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมาก เนื่องจากราคาอ้อยดังกล่าวไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริงที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งค่าปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ค่าน้ำมัน ค่าแรง และค่าเครื่องจักรกลการเกษตร
นางสาวประภาลักษณ์ระบุว่า จากการลงพื้นที่พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่สะท้อนเสียงเดียวกันว่า ราคาอ้อยระดับนี้ต่ำกว่าต้นทุนจริงที่ประมาณ 1,300–1,350 บาทต่อตัน ทำให้หลายครอบครัวรับภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นและไม่สามารถฟื้นตัวจากฤดูกาลก่อนหน้าได้ การประกาศราคาอ้อยที่ไม่สะท้อนต้นทุนยิ่งทำให้เกษตรกรจำนวนมากเผชิญความเสี่ยงด้านรายได้และความไม่มั่นคงในการทำเกษตร
ขณะเดียวกันได้สะท้อนความกังวลของชาวไร่อ้อยจำนวนมากที่รู้สึกว่าแนวทางหรือข้อเสนอที่องค์กรชาวไร่ส่งถึงคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายไม่ได้รับการพิจารณาเพียงพอ ทั้งที่ข้อเสนอสำคัญ เช่น การกำหนดราคาอ้อยให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงการประกาศมาตรการช่วยเหลืออย่างเงินสนับสนุนการตัดอ้อยสด ยังไม่ชัดเจน ทำให้เกษตรกรไม่สามารถวางแผนการผลิตในฤดูกาลใหม่ได้อย่างมั่นใจ
นางสาวประภาลักษณ์ตั้งคำถามเชิงนโยบายต่อบทบาทของฝ่ายกำกับดูแลตลาดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ก่อนหน้านี้ได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากหลายฝ่าย แต่กลับไม่เห็นท่าทีหรือการสั่งการที่ชัดเจนต่อปัญหาราคาอ้อยที่กระทบชาวไร่นับแสนครัวเรือน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่เคยออกมาชื่นชมและสนับสนุนรัฐมนตรีคนนี้ในหลายประเด็นกลับเงียบหาย ทั้งที่เป็นวิกฤตสำคัญของภาคเกษตรกรรม จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ เข้ามาดูแลอย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยให้ปัญหาตกอยู่กับชาวไร่เพียงฝ่ายเดียว
นางสาวประภาลักษณ์ย้ำว่า หากต้องการให้ภาคการผลิตอ้อยของไทยอยู่รอดอย่างยั่งยืน การกำหนดราคาและนโยบายจำเป็นต้องอยู่บนข้อมูลจริง มีความโปร่งใส และมีการมีส่วนร่วมของเกษตรกร พร้อมทั้งต้องมีมาตรการช่วยเหลือที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ โดยเชื่อว่าหากรัฐให้ความสำคัญกับเสียงของชาวไร่และปรับโครงสร้างราคาอย่างเป็นธรรม จะสามารถลดความเสี่ยงด้านรายได้ของผู้เพาะปลูกและเสริมความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลไทยในอนาคต







