วันที่ 3 ธ.ค.68 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม ระบุว่า...
ปปง. ยึดทรัพย์ยิม เลียก-เบน สมิธ หรือเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ แล้วรัฐบาลต้องทำอะไรต่อ
ตามที่คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มของนายยิม เลียก และนายเบน สมิธ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดถึง 9 พันล้านบาท จากรายการทรัพย์สินทั้งหมด 66 รายการ ซึ่ง การยึดทรัพย์ในครั้งนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการสืบสวนเส้นทางการเงินในคดีหลอกลวงออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ชื่อ แตงไทย ซึ่งพบว่ามีการทำธุรกรรมเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารของนายยิม เลียก ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิดกับทายาทของเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในประเทศกัมพูชา และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสแกมเมอร์ที่หลอกลวงคนไทยจำนวนมาก
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครือข่ายนี้ มีความเชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพลทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะธนาคาร BIC ของนายยิม เลียก ซึ่งถูกใช้เป็นฐานในการฟอกเงินขนาดใหญ่ และมีความเชื่อมโยงกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกัมพูชาที่ชื่อว่า "ลองเบย์ดาราสาคร" ซึ่งเกี่ยวพันกับนายเสอ จื้อเจียง ที่ถูกทางการไทยส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนให้กับทางการจีนไปแล้ว ซึ่งผมขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบว่า เดิมทีมีความเข้าใจว่าธนาคาร BIC ถูกพาดพิงว่าเป็นเพียงพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ข้อมูลล่าสุด พบว่าธนาคารแห่งนี้อาจถูกคว่ำบาตรโดยสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกับกรณีของนายเฉิน จื่อ และ Prince Group ซึ่งทำให้การตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธนาคาร BIC มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ ผมต้องให้ความเป็นธรรมว่า ธนาคาร BIC มีอยู่สองแห่งคือในประเทศลาวและกัมพูชา โดย BIC ในลาวเป็นผู้ร่วมลงทุนดั้งเดิมแต่ได้ถอนตัวออกไปแล้ว แต่ BIC ในกัมพูชาของนายยิม เลียก กลับมีข้อมูลว่าถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการในการฟอกเงิน และเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างนายยิม เลียก กับนายเบน สมิธ ซึ่งนายเบน สมิธ คนนี้เองที่มีความเชื่อมโยงกับนักการเมืองไทยหลายคน รวมถึงร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า
สำหรับนายยิม เลียก ผู้นี้เป็นบุตรชายของรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาซึ่งมีความสนิทสนมอย่างยิ่งกับสมเด็จฮุน เซน และยังมีสายสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานกับคนไทย รวมถึงมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองไทยหลายคน ส่วนนายเบน สมิธ นอกจากจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับนายยิม เลียก แล้ว ยังดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน เซน และใช้หนังสือเดินทางทูตในการเดินทางเข้าออกประเทศไทย จากข้อมูลของนายทอม ไรท์ นักข่าวที่เปิดโปงเรื่องนี้ นายเบน สมิธ มีบทบาทเป็นนายหน้าในการจัดการธุรกิจและอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับนักการเมือง เช่น เครื่องบินเจ็ตและเรือยอร์ช เช่นในกรณีของการเดินทางที่หลีเป๊ะ ของนายทักษิณ ชินวัตร และร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ไปพบนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย โดยใช้เรือยอร์ชหรูรุ่น wanderlust ซึ่งมีเพียงไม่กี่ลำในโลก ทำให้เกิดคำถามว่า ร้อยเอกธรรมนัสซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ ไปมีความสนิทสนมกับเครือข่ายเหล่านี้ได้อย่างไร
ซึ่งนายธนดล ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของร้อยเอกธรรมนัส ก็ได้ช่วยยืนยันความสัมพันธ์ของร้อยเอกธรรมนัส และนายเบน สมิธ ว่านายเบน สมิธ ได้ทำธุรกิจร่วมกับนักการเมืองไทยหลายคน รวมถึงการที่นายธนดลเข้ามาดูแลและดำเนินการฟ้องร้องคดีแทนนายเบน สมิธ ก็มาจากการแนะนำของร้อยเอกธรรมนัส ซึ่งยิ่งทำให้น่าสงสัยมากขึ้นว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งสองคนเป็นอย่างไร
สำหรับคดีที่ผมถูกนายเบน สมิธ ฟ้องร้อง ความคิบหน้าล่าสุดคือ เพิ่งมีการไต่สวนมูลฟ้องไปเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผมได้พบความผิดปกติหลายอย่าง เช่น ทนายความผู้รับมอบอำนาจไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลในสำเนาหนังสือเดินทางคือนายเบน สมิธ จริงหรือไม่ และไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการมอบอำนาจ ซึ่งทั้งนี้รับเป็นทนายในคดีนี้
นอกจากนี้ นายเบน สมิธ ยังใช้ชื่อหลายชื่อในการทำธุรกรรมต่างๆ เช่น เบนจามิน เมาส์เบอร์เกอร์, สมิธ เบน ซึ่งสร้างความสับสนและเป็นที่น่าสงสัย ว่าเหตุใดถึงต้องมีชื่อหลายชื่อขนาดนี้ จำเป็นต้องปกปิดตัวตนไปทำไม
ซึ่งผมไม่อยากให้มองว่าเรื่องของนายเบน สมิธ เป็นเพียงเรื่องของสแกมเมอร์เท่านั้น แต่ผมอยากให้มองว่าเป็นปัญหาทุนสีเทาที่กำลังเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย โดยเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชนและเว็ปพนัน ได้ถูกนำมาฟอกและซื้อกิจการในประเทศ และอาจถูกนำไปใช้ในการซื้อเสียงสำหระบการเลือกตั้งที่จะถึง ซื้อข้าราชการให้เป็นลูกน้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
นอกจากนี้ เรื่องที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับการออกมาตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ของร้อยเอกธรรมนัสและนายเบน สมิธ คือ การที่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ใช้กระบวนการทางกฎหมายฟ้องร้องประชาชนและสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเองในประเด็นนี้ โดยเฉพาะที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา มีคดีความเกิดขึ้นหลายร้อยคดี ซึ่งเป็นการใช้อำนาจในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเพื่อข่มขู่และปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง
รวมถึงตัวผมเอง ก็ถูกร้อยเอกธรรมนัสฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดพะเยา จากกรณีที่โพสต์ข้อความตั้งคำถามถึงการแต่งตั้งร้อยเอกธรรมนัสให้มาปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ โดยอ้างอิงถึงคำพูดของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่เคยเปรียบเปรยว่า "เอาโจรไปปราบโจร"
ดังนั้นผมยังคงยืนยันอีกครั้งว่านายกรัฐมนตรีต้องปลดร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะเริ่มดำเนินการอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องแล้วก็ตาม โดยให้เหตุผลว่า การที่บุคคลที่มีข้อกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมร้ายแรงยังคงอยู่ในตำแหน่งสำคัญ อาจสร้างแรงกดดันต่อกระบวนการยุติธรรมและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐได้ เพื่อความสง่างามและความเป็นธรรม ควรให้ร้อยเอกธรรมนัสออกจากตำแหน่งไปก่อน เพื่อให้กระบวนการพิสูจน์ความจริงเป็นไปอย่างโปร่งใสและปราศจากข้อกังขา ดังเช่นในกรณีของนายวรภัค ที่เคยทำมาก่อนแล้ว ซึ่งยังไม่รวมถึงพฤติกรรมการฟ้องร้องประชาชนและสื่อมวลชนของร้อยเอกธรรมนัส ที่ไม่มีเหตุผลใดให้นายกรัฐมนตรีต้องเก็บร้อยเอกธรรมนัสไว้ในรัฐบาล ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องดำเนินการปลอดร้อยเอกธรรมนัส และเร่งออกหมายจับเพื่อทำลายโครงสร้างองค์กรอาชญากรรมได้แล้ว ซึ่งสำคัญมากในการให้ประเทศที่ลงนามเรื่องตำรวจสากล ช่วยเราทะลายเครือข่ายนี้ได้จากทั่วทุกมุมโลกครับ
#รังสิมันต์โรม #ธรรมนัส #ปปง #อายัดทรัพย์ #การเมืองไทย #โปร่งใส #ตรวจสอบได้








