"ดร.สุวิทย์" เสนอสูตรปฏิรูปประเทศ 6 ข้อ หากเป็นหัวหน้าพรรควันนี้ ชี้ไทยกำลังเผชิญวิกฤตโครงสร้างใหญ่กว่าการเมือง
วันที่ 2 ธ.ค.68 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ Dr. Suvit Maesincee ระบุข้อความว่า...
ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองวันนี้ ผมจะทำสิ่งนี้ทันที
ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาที่ “ใหญ่กว่า” การเลือกตั้ง “หนักกว่า” การแก้รัฐธรรมนูญ และ “เร่งด่วนกว่า” เกมการเมืองทั้งปวง และเหตุการณ์ น้ำท่วมหาดใหญ่ 2025 เพิ่งตอกย้ำว่า “ประเทศมีปัญหาโครงสร้าง ไม่ใช่ปัญหาฝนฟ้าอากาศ”ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองวันนี้ ผมจะไม่เริ่มต้นด้วยการคิดว่าจะได้ ส.ส.กี่คน หรือจับมือกับใครจัดตั้งรัฐบาล แต่ผมจะเริ่มด้วยคำถามเดียว: พรรคของผม จะทำให้คนไทยไม่รู้สึกว่าประเทศนี้ ‘ล้มเหลวในการดูแลพวกเขา’ ได้อย่างไร?
1) ผมจะประกาศทันที: ประเทศไทยต้องมี “รัฐที่ทำงานเป็น” ก่อนมี “การเมืองที่แข่งขันกัน”
น้ำท่วมหาดใหญ่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า รัฐไทยไม่มีระบบ Early Warning, ไม่มี Command Center, ไม่มี Incident Manager, ไม่มีผู้รับผิดชอบจริง
คนไทยไม่ได้อยากได้ประชาธิปไตยที่สวยงามบนกระดาษ แต่ต้องการ รัฐที่ทำงานเป็น รัฐที่ปกป้องชีวิตเขาได้จริง
ผมจะประกาศนโยบายแรกของพรรคดังนี้:
• ตั้ง National Incident & Emergency Authority (NIEA) ที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลไหน
• ระบบเตือนภัยทันทีผ่านมือถือทุกเครื่อง (เหมือนญี่ปุ่น/เกาหลี)
• Dashboard น้ำ-ฝน-แผ่นดินไหวแบบ real time เปิดสาธารณะ
• ซ้อมแผนอพยพทุกปี ทุกจังหวัด
พูดง่าย ๆ คือ เปลี่ยนประเทศจาก “ปล่อยให้เกิดเหตุ” เป็น “พร้อมรับมือก่อนเกิดเหตุ” นี่คือของจริง ไม่ใช่คำสัญญาลอย ๆ
2) ผมจะบอกความจริงกับประชาชนเรื่องเศรษฐกิจไทย—แบบไม่อ้อมค้อม
ปัญหาของไทยไม่ใช่ GDP โตช้า แต่คือเรากำลังหลุดจากเกมโลกแบบถาวร เพราะ:
• ประเทศเพื่อนบ้านแซงไทยด้านดึงดูดการลงทุน
• SME ไทยแข่งขันไม่ได้ในยุคดิจิทัล
• แรงงานไทยรายได้ต่ำเพราะทักษะต่ำ
• เทคโนโลยี AI เปลี่ยนงานทั้งระบบ แต่ไทยยังไม่ได้สร้าง ecosystem รองรับ
• รัฐไทยยังติด mindset “อนุญาตก่อน ขยับไม่ได้” จนธุรกิจใหม่เกิดไม่ได้
ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมจะประกาศว่า: เราต้องเปลี่ยนจากประเทศที่ “ขออนุญาตก่อนทำ” → เป็นประเทศที่ “ทำได้เลย ยกเว้นห้ามชัดเจน”
นโยบายชุดแรก:
• ยกเครื่องกฎหมาย 100 ฉบับ ที่ขวางนวัตกรรม (Regulatory Sunset + Zero-Based Regulation)
• AI National Upskilling Program อบรมแรงงาน–SME–นักเรียน 5 ล้านคน
• Thailand AI Commons ให้ startup และ SME ใช้ compute/ข้อมูลฟรี
• FTA ยุคใหม่ ที่ปกป้องผลประโยชน์ไทย ไม่ใช่เปิดเสรีแบบเสียเปรียบ
นี่คือทางรอด ไม่ใช่แผนพัฒนาประเทศบนสไลด์ PowerPoint
3) ผมจะพูดเรื่องภูมิรัฐศาสตร์แบบที่คนไทย “เข้าใจง่าย”
ไทยกำลังอยู่ตรงกลางระหว่างจีน–สหรัฐ แต่ปัญหาคือ เราไม่มีวางตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ ไม่มี grand strategy
ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมจะบอกตรง ๆ ว่า:
• ประเทศไทยต้องเลือกหลักการ ไม่ใช่เลือกข้าง
• เราต้องเป็นศูนย์กลาง ASEAN Collective Hedging ไม่ใช่ “ประเทศที่ใครผลักก็ล้ม”
• เราต้องสร้างอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของตัวเอง เช่น อาหารแห่งอนาคต พลังงานสะอาด MedTech, AI for Climate, Defense Tech (ที่ไทยต้องเริ่มทำเองบ้างแล้ว)
นี่คือภูมิรัฐศาสตร์แบบ pragmatic—not romantic.
4) ผมจะประกาศว่า พรรคการเมืองต้องเป็นมากกว่าเครื่องจักรกลเลือกตั้ง
ปัญหาประเทศไม่ได้เกิดเพราะคนไทยทะเลาะกัน แต่เพราะ “รัฐไทยไม่พร้อมสำหรับศตวรรษใหม่”
ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมจะ:
• ยกเครื่องพรรคให้เป็น Think–Do Tank ของประเทศ
• ตั้ง War Room ความเสี่ยงประเทศไทย รายงานทุกเดือน
• ชวน มหาวิทยาลัย–เอกชน-ชุมชน เป็นเครือข่ายนโยบาย
• เปิดข้อมูลพรรคแบบ Fully Transparent: รายรับ–รายจ่าย–ผู้สนับสนุน
• สร้างระบบ Political Talent Pipeline คนรุ่นใหม่–ผู้เชี่ยวชาญเข้าพรรคแบบมี Career Path
นี่คือการทำพรรคการเมืองแบบ “Statecraft Politics” ไม่ใช่ “Power Politics”
5) ผมจะบอกความจริงกับประชาชนเรื่องการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญ
คำถามว่า “ควรเลือกตั้งต้นปีหน้าไหม?” หรือ “แก้รัฐธรรมนูญตอบปัญหาไหม?”
เป็นคำถามที่ เล็กกว่าปัญหาประเทศจริง ๆ
• เลือกตั้งได้ แต่รัฐไม่พร้อมรับภัยพิบัติ ประเทศก็ล่มได้
• แก้รัฐธรรมนูญได้ แต่ถ้าเศรษฐกิจไทยยังไม่แข่งกับโลก ก็จนเหมือนเดิม
• ได้รัฐบาลใหม่ แต่ไม่มีความสามารถบริหารวิกฤต ก็เหมือนเดิมทุกปี
ผมจะบอกประชาชนว่า: การเมืองไทยต้องเปลี่ยนคำถามจาก “เลือกตั้งเมื่อไหร่” ไปเป็น “รัฐไทยทำงานได้หรือยัง”
นี่คือ narrative ใหม่ที่ประเทศต้องการจริง ๆ
6) ผมจะประกาศสัญญา 1 ข้อกับประชาชน
หากผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมจะสัญญากับประชาชนตรง ๆ ว่า— “พรรคของผมจะเป็นพรรคที่ทำให้ประเทศไทยพ้นจากยุค ‘รัฐไร้สมรรถนะ’ เข้าสู่ยุค ‘รัฐที่ดูแลประชาชนได้จริง’ ”
สัญญานี้ง่าย แต่ทรงพลัง เพราะนี่คือปัญหาที่คนไทยทุกกลุ่มรู้สึกจริง ๆ
บทสรุป: ประเทศไทยไม่ต้องการพรรคที่หาเสียงเก่ง แต่ต้องการพรรคที่บริหารประเทศได้จริง
ถ้าผมเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองวันนี้—ผมจะทำสิ่งเหล่านี้ก่อนหาเสียง เพราะประเทศกำลังอยู่ในยุคที่ “การเมืองแบบเดิม” ไม่สามารถปกป้องประชาชนได้อีกต่อไป
ประเทศไทยกำลังต้องการผู้นำที่พูดประโยคนี้ได้อย่างมั่นใจ —“เราไม่ได้มาแข่งกับพรรคอื่น เรามาแข่งกับความท้าทายที่กำลังจะกลืนประเทศนี้ทั้งประเทศ”







