การเมืองทั่วไป

สส.ปชน.ชำแหละ 3 โจทย์ใหญ่ธุรกิจไทย "ทุนผูกขาด รัฐขวาง โลกทิ้งห่าง"

แชร์ข่าว

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ขึ้นกล่าวในงาน “รีชาร์จประชาชน Recharge the People” ที่สำนักงานใหญ่พรรคประชาชน อาคารอนาคตใหม่ ซอยรามคำแห่ง 42 กรุงเทพฯ ภายใต้ธีม “ธุรกิจไทยยังแข่งกับโลกได้”

สิทธิพล เผยว่า วันนี้ผู้ประกอบการไทยวันนี้เจอปัญหาหนักหลายเรื่อง หลายธุรกิจกำลังถูกปฏิบัติธรรมอย่างไม่เป็นธรรม เครื่องมือของรัฐก็ไม่สนับสนุนเพียงพอ ดังนี้

1. โดนทุนผูกขาด ทุนเทารุมกินโต๊ะ

ผู้ประกอบการคือตัวโดนที่แท้จริง โดนทั้งทุนผูกขาดและทุนเทารุมกินโต๊ะ เข้าห้างใหญ่ก็ยาก มีต้นทุนสูงจากโทรคมนาคมและพลังงาน และยังมีสินค้าต้นทุนต่ำเข้ามาขายตัดราคา มีนอมินีแข่งกับธุรกิจของคนไทยทุกตรอกซอกซอย มีนอมินีฟอกเงินทุนเทาเป็นทุนขาว ขายของตัดราคา ผู้ประกอบการรายย่อยจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร

2. โดนระบบ-ระเบียบรัฐขัดขวาง

แทนที่รัฐจะช่วยโอบอุ้ม ผู้ประกอบการทั่วประเทศเล่าให้ฟังว่า ระบบใบอนุมัติ อนุญาติใช้เวลายาวนาน ทำให้นำไปสู่การจ่ายใต้โต๊ะ 

3. โดนโลกทิ้งห่าง

ไหนจะสงครามการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ผู้ประกอบการไทยนับวันถูกทิ้งห่างไปเรื่อยๆ

นโยบายเพื่อผู้ประกอบการไทยต้องทำให้เป็นธรรมและแข่งขันได้

ผู้ประกอบการไทยเปรียบเสมือนขึ้นเวทีชกแต่คนละรุ่น คู่แข่งไม่ต้องทำตามกฎหมาย-กติกา กรรมการเผลอๆ เข้าข้างอีกฝั่งต่างหาก อย่างนี้ธุรกิจไทยจะแข่งขันได้อย่างไร สิ่งที่พรรคประชาชนมุ่งมั่นที่จะทำ หาเสียงมาตลอดคือต้องทำให้กลไกการกำกับการแข่งขันหรือพูดง่ายๆ ดูแลเรื่องปัญหาผูกขาดในประเทศนี้ดีขึ้นให้ได้

สิทธิพลกล่าวว่า ประเทศเรามีกฎหมายแข่งขันทางการค้าใช้มาเกือบ 10 ปี กลุ่มประเทศ OECD ที่พัฒนาแล้วจะรับเราเข้าเป็นสมาชิกก็ต่อเมื่อเราทำได้ตามมาตรฐานของเขา เขาประเมินเราหลายเรื่อง เขามาประเมินเรื่องการแข่งขัน ธุรกิจที่จะแข่งขันแฟร์ไหม ต่างชาติจะเข้ามาประกอบธุรกิจแฟร์ไหม เขาบอกว่าเราต้องปรับปรุงหลายเรื่อง 

แม้พรรคประชาชนจะเป็นฝ่ายค้าน แต่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติเราเดินหน้าเสนอแก้กฎหมายแข่งขันทางการค้า ที่มีปัญหา เช่น คลุมเครือ ต้องตีความว่าธุรกิจใดอยู่ภายใต้กฎหมายบ้าง เมื่อก่อนกรรมการแข่งขันทางการค้าก็ไม่ยึดโยงกับประชาชน ทำให้มีระยะห่าง 

สิทธิพลเผยตัวอย่างการควบรวมห้างใหญ่ กขค. วินิจฉัย Makro และ Lotus ควบรวมกันได้ ส่วนหนึ่งเพราะนิยาม Makro เป็นธุรกิจค้าส่ง Lotus เป็นธุรกิจค้าปลีก ไม่กระทบกัน จึงควบรวมได้ ในฐานะท่านเป็นโรงงานที่ผลิต ท่านก็ขายทั้งสองห้าง ในฐานะที่เป็นลูกค้าท่านก็เดินทั้งสองห้าง แต่เขาบอกว่าเป็นคนละตลาดกัน เป็นไปได้อย่างไร

สิ่งที่ประชาชนร้องเรียนมา เมื่อควบรวมจนห้างเหลือน้อย ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยถูกเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ถ้าเมื่อก่อน มีการแข่งขันว่าจะให้ค่า GP เท่าไหร่ แต่วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นหลังควบรวมแล้ว เทียบค่าใช้จ่าย เรตไหนแพงกว่า ยึดเรตนั้น หนีจากออฟไลน์มาออนไลน์ก็ไม่รอด ตัวอย่างธุรกิจแพลตฟอร์มหนึ่งขึ้นค่า GP จากเดือนมกราคมถึงเดือนตุลาคมปีนี้ เพิ่มค่าธรรมเนียมขายสินค้าจาก 21.40% เป็น 23.54%

พอธุรกิจแพลตฟอร์มขยายตัวมากขึ้น นำไปสู่การผูกขาดธุรกิจอื่นๆ ที่โดนแล้วเช่นขนส่ง ท่านเป็นผู้ประกอบการ เป็นลูกค้าไม่สามารถเลือกขนส่งได้ จนผู้ประกอบการขนส่งรายย่อยวันนี้ได้รับผลกระทบ นำเรื่องมาฟ้องที่สภาฯ สถานการณ์ผูกขาดนี้กำลังจะขยายไปยังธุรกิจโกดัง ประกัน สินเชื่อ โฆษณา ธุรกิจเกี่ยวเนื่องทุกอย่างกำลังจะถูกผูกขาดจากอำนาจของแพลตฟอร์ม

นอกจากนี้สิทธิพลยังสะท้อนว่าธุรกิจใด อุตสาหกรรมใดก็ตามที่มีความเฉพาะ อย่างธุรกิจพลังงาน ธุรกิจโทรคมนาคม กฎหมายเดิมเปิดช่องให้ไม่ต้องเข้าไปดูแล เช่น ค่ายมือถือควบรวมกัน กสทช. บอกไม่มีอำนาจห้าม เป็นอำนาจ กขค. ขณะที่ กขค. ก็บอกว่าไม่มีอำนาจเหมือนกัน สุดท้ายผลประโยชน์ประชาชนอยู่ที่ไหน?

วันนี้ทุกอย่างกำลังดีขึ้น พรรคประชาชนเสนอแก้ไขกฎหมายแข่งขันฯ เข้าสู่สภา สิทธิพลในฐานะประธานกรรมาธิการชุดนี้ ทำงานร่วมกับกรรมาธิการจากทุกพรรคร่วมกันแก้ไขกฎหมาย จนวันนี้เสร็จสิ้นในชั้นกรรมาธิการแล้ว เราเชื่อว่าเปิดสภาเดือนหน้าน่าจะได้พิจารณาในวาระ 2-3 เพื่อที่จะนำไปสู่การลดกำกับการแข่งขันให้ดีขึ้น ลดการผูกขาดให้ได้มากที่สุด

กฎหมายชุดนี้ช่วยอะไรบ้าง? 

สิทธิพลเผยว่า กฎหมายแข่งขันทางการค้าที่กำลังแก้ไขนี้ 1) ช่วยแก้ไขความคลุมเครือของทุกธุรกิจต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ การควบรวมต้องขออนุญาติ ต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็น 

2) กรรมการคัดสรร กขค. ต้องมีที่มายึดโยงกับประชาชน อย่างน้อยหนึ่งตำแหน่งคือผู้แทนจากสภาองค์กรของผู้บริโกค 3) การวินิจฉัยคดีต้องไม่ล่าช้า ต้องเปิดเผยคำวินิจฉัยส่วนบุคคล และให้ผู้บริโภคสามารถฟ้องร้องเองได้ เพื่อลดภาระคดีล้นของ กขค. และเปลี่ยนโทษอาญาที่ไม่เคยใช้บังคับได้ มาเป็นโทษปรับทางวินัย

ในประเด็นทุนเทาครองเมือง สิทธิพลย้ำว่าเราต้องสู้เพื่อผู้ประกอบการ ทั้งสินค้าผิดกฎหมาย สินค้าทุ่มตลาด ตลอดจนการประกอบธุรกิจ การฟอกเงินผ่านนอมินี 

สิทธิพลยกข้อมูลให้ดูว่า ตั้งแต่ปี 2565  แม้การบริโภคภาคเอกชน ประชาชนเพิ่มขึ้น แต่การผลิตกลับลดลงเรื่อยๆ โรงงานปิดตัว  มันสะท้อนว่าการบริโภคและการผลิตของประเทศนี้ ฉีกออกจากกัน สาเหตุเพราะการนำเข้าเพิ่ม โดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีนที่สัดส่วนเพิ่มมากขึ้น ถ้าสินค้าดี คุณภาพดี ราคาถูก ไม่ทุ่มตลาด ไม่มีปัญหา มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค แต่ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งในนี้คือ สินค้าผิดกฎหมาย ไม่มี มอก. อย. ส่วนหนึ่งเป็นสินค้าทุ่มตลาด

ที่ผ่านมาเราลองเปิดระบบแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านโครงการนักสืบทุนเทา เพียง 10 สัปดาห์ มีเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 1,199 เรื่อง สิ่งที่พบคือ หน่วนงานรัฐแก้ปัญหาช้า เร็วสุด 2 เดือน นานสุดเป็นปี มีปัญหานอมินีมากสุด เกินครึ่งของเรื่องร้องเรียน

แต่ทั้งหมดนี้แก้ปัญหาได้ด้วยการเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งจะช่วยแก้ข้อจำกัดด้านกำลังคนและเวลา ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการติดตามแก้ปัญหา แก้บทลงโทษให้หนักขึ้น มี KPI ร่วมระหว่างหน่วยงาน

สิทธิพลมองว่าปัญหาสินค้าทุ่มตลาด ทั่วโลกมีมาตรการสากล ใช้รับมือ เช่นมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด เราก็ใช้บ้าง แต่ใช้น้อยถ้าเทียบกับสถานการณ์ รัฐควรเข้ามาช่วยเรื่องนี้มากขึ้น ให้คนที่เข้าไม่ถึงมาตรการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยเข้าถึงได้

รวมถึงรัฐควรทำตัวเป็นพี่เลี้ยง สนับสนุนผู้ประกอบการ ผ่านนโยบาย Open Data เพื่อสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าต้องเปลี่ยนการเก็บเงินในการเข้าถึงข้อมูลเป็นการเปิดข้อมูลสู่สาธารณะ จะช่วยทั้งสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ โอกาสทางธุรกิจ หน่วยงานอย่างศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัย เอาไปสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มาก ทั้งยังช่วยลดปัญหานอมีนี ฮั้วประมูลได้ด้วย

รัฐต้องแก้ไขการขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่ล่าช้า ที่ทำให้ผู้ประกอบการเสียโอกาส ตัวอย่างสิทธิบัตรออกแบบที่มีคำขอค้าง 10,000 กว่าเรื่อง กรมทรัพย์สินปัญญาควรเร่งดูแลแก้ไขเรื่องนี้ เพิ่มผู้เชี่ยวชาญ ผู้ตรวจสอบให้เพียงพอ

นอกจากนี้สิทธิพลยังเสนอแนวทางเพื่อปรับปรุงการใช้งบ SMEs สำหรับช่วยผู้ประกอบการ แต่ละปีรัฐมีงบสำหรับสนับสนุน SMEs ถึง 4-5 พันล้านบาท แต่ยังมีการใช้งบที่ไร้ประสิทธิภาพ แนวทางที่สิทธิพลเสนอ ดังนี้ 1) การใช้งบต้องมีเจ้าภาพ ปัจจุบันงบกระจายอยู่ 31 หน่วยงานที่ไม่มีใครดูแลภาพรวม 2) การใช้งบต้องตอบโจทย์สิ่งที่ SMEs ต้องการ สิ่งที่รัฐกำลังทำอยู่ เป็นการใช้งบแบบกลับหัวกลับหาง ไม่ตอบโจทย์ที่เขาต้องการ และ 3) ใช้งบประมาณให้สอดคล้องกับความเดือดร้อนของ SMEs

ทุกวันนี้เรามีงบสำหรับช่วย SMEs เยอะ เช่น งบที่ สสว. ขอไปเพื่อช่วยเหลือเรื่องเงินทุนให้ SMEs ขอไปแล้ว 2 ปี 5,000 ล้านบาท แต่ไม่ใช้สักบาท ขณะที่ SMEs เองต้องไปพึ่งหนี้นอกระบบ ต้องเจ๊งไปจำนวนมาก ถ้าเอาเงินส่วนนี้ไปให้ บสย. ค้ำประกันเงินกู้ คงช่วย SMEs ได้หลายแสนหลาย นอกจากนี้ ยัมีโครงการแบบนี้อีกจำนวนมากที่ของบแล้วไม่ได้ใช้ ทั้งที่ SMEs เดือดร้อน สสว. นี่แหละตัวดี รัฐบาลต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือดูแล

รวมทั้งควรมีการปรับบทบทาทูตพาณิชย์ 58 แห่งที่เปรียบเสมือนกองหน้าในการหาตลาด เราคาดหวังบทบาททูตพาณิชย์ให้สามารถหาตลาดได้ รัฐบาลเคยไปดูบ้างไหม ทูตพาณิชย์ควรมี KPI อย่างไร ควรมี KPI ที่สอดคล้องกับเป้าหมายและหน้าที่หลัก เนื่องจาก KPI สำคัญ เช่น ควรมี KPI สำหรับการขยายสินค้าเป้าหมาย ขยายมูลค่าส่งออก 

รวมทั้งให้ทำ KPI ด้านการเงิน เพราะปัจจุบันมีการให้น้ำหนักการวัดผล KPI แบบที่สำคัญดันให้น้ำหนักน้อย แต่ KPI ที่ไม่สำคัญดันให้น้ำหนักมาก ควรมีการสื่อสารระหว่างฝ่ายนโยบายกับส่วนราชการว่าเป้าหมายหลักคืออะไร ตัวชี้วัดนั้นสะท้อนภารกิจหน้าที่หรือเป็นเรื่องที่ประเทศมุ่งเป้าหรือไม่ ต้องมีการให้งบประมาณบุคลากรสอดคล้องกับความสำคัญของตลาด สำนักทูตพาณิชย์บางแห่งมีความจำเป็นต้องลดการจ้างคนด้วย

สิทธิพลสะท้อนว่าในด้านการค้าโลกนั้น แม้การโลกหดตัวแต่ยังมีหลายตลาดที่มีศักยภาพสูง ยังมีโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย แต่เราต้องทำการบ้านหนัก ตัวอย่างตลาดอินเดีย โดย 3 ปีย้อนหลัง เราโตปีละ 12% นี่คือโอกาสสำคัญ ถ้าย้อนไปดูในรายสินค้า ก็จะพบว่า หลายสินค้าเรายังมีโอกาสอีกมาก เพราะวันนี้เราเพิ่งได้ส่วนแบ่งนิดเดียว ยกตัวอย่าง ดังนี้

ตลาดสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับ เราเพิ่งมีส่วนแบ่ง 1.41%  สะท้อนว่าเรายังมีโอกาสอีกมาก เราต้องไปดู คู่แข่งเรา คือใคร ขายอะไร และกลับมาดูบ้านเราว่ามีผู้ประกอบการคนไหน ทำได้บ้าง แน่นอนต้องทำการบ้านร่วมกับ กระทรวงอุตสาหกรรม ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง แต่นี่คือหน้าที่รัฐ ที่ต้องทำการบ้าน นี่ยังไม่พูดถึงรายรัฐ​/รายเมือง ที่แต่ละรัฐก็ยังมีโอกาสอีกมาก 

เรามีประเทศที่มีศักยภาพแบบนี้อีกพอสมควร เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง กลุ่มแอฟริกา เราสมควรทำยุทธศาสตร์รายสินค้า รายพื้นที่ สิ่งที่เห็นแล้วตกใจมากสุดคือ เราเห็นโอกาสขนาดนี้ 3 ปีย้อนหลังโดขนาดนี้ กระทรวงพาณิชย์ ตั้งเป้าตลาดอินเดียโตที่ 4% สำหรับข้อเสนอของเรา เราคิดว่ารัฐบาลต้องมียุทธศาสตร์รายสินค้า และกำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับโอกาสที่มี

สำหรับตัวอย่าง 10 นโยบาย Fair and Fight เพื่อผู้ประกอบการไทย แบ่งเป็น 3 ประเด็น ดังนี้ 

1) จัดการทุนผูกขาด/ ทุนเทา ผลักดันการใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ สนับสนุนภารกิจของ กขค. ให้บรรลุวัตถุประสงค์ รวมทั้งใช้มาตรการปกป้องทางการค้ามากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสามารเข้าถึงมาตรการได้ ให้มีการผลักดันโมเดล “นักสืบทุนเทา” และการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นวาระแห่งขาติ รวมศูนย์การจัดการธุรกิจ/ ทุน/ สินค้าผิดกฎหมาย มีกรอบเวลา ตัวชี้วัดชัดเจน

2) แก้อุปสรรคจากภาครัฐ ให้มีการทำ OPEN DATA สำหรับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพิ่มโอกาสภาคธุรกิจด้วยข้อมูล ให้มีการสนับสนุนทรัพยกร งบ คน เช่น เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบในบางสาขา IP และ GI ที่ไม่เพียงพอ จนทำให้ภาคธุรกิจเสียโอกาส และใช้งบประมาณ SMEs ให้มีประสิทธิภาพ มีเจ้าภาพ ตอบโจทย์ความต้องการและความเดือดร้อนของ SMEs

3) ธุรกิจไทยทันโลก ควรมีการจัดสรรงบด้านการค้าต่างประเทศให้เหมาะสม มีการส่งเสริม ปกป้องให้ SMEs เข้าถึงได้ มีการปรับตัวชี้วัดทูตพาณิชย์ พร้อมสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นในตลาดยุทธศาสตร์ รวมทั้งจัดให้มีการเจาะลึกตลาดที่มีศักยภาพ ทั้งรายพื้นที่ รายสินค้า เพื่อลดอุปสรรคและหาโอกาสให้ผู้ประกอบการ 

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างนโยบายที่เตรียมไว้สำหรับผู้ประกอบการคือการเร่งปราบทุนผูกขาด ทุนเทา ปรับบทบาทให้รัฐเป็นพี่เลี้ยง และเอาจริงในการทำให้ผู้ประกอบการไทยแสวงหาโอกาสกลับมาลุกขึ้นยืนได้ เราต้องการรัฐบาลที่เอาจริงในการเข้าใจปัญหา ลงไปดูในรายละเอียด และต้องมีเจตจำนงแท้จริงในการแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการไทย

แชร์ข่าว