เมื่อวันที่ 20 พ.ย.68 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรคประชาชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก "Tawee Sodsong - พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง" ระบุว่า ตลกร้ายที่ดินไทย : โศกนาฏกรรมความเหลื่อมล้ำ จาก "ป่าทิพย์" สู่การ "คืนชีวิต"
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 72 กำหนดให้ “รัฐพึงดำเนินการเกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรน้ำ และพลังงาน (3) จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทำกินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม”
และ ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชาวนาและประชาชนอื่นที่ทำงานในพื้นที่ชนบท (UNDROP) ที่ประเทศไทยเข้าร่วม มาตรา 17, 18, และ 28 โดยสรุปคือ รัฐต้องรับรองสิทธิของชาวนาและคนในชนบทใน ที่ดินและอาณาเขต (Territory) โดยรัฐต้องประกันการเข้าถึงที่ดินที่เพียงพอ การ กระจายที่เป็นธรรม (Equitable Distribution) และการคุ้มครองจากการถูกขับไล่ (Protection against Eviction) (ม.17) รวมถึงสิทธิในการ จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน (Sustainable Management of Natural Resources) (ม.18) โดยมุ่งเน้นให้รัฐมีกลไกที่จำเป็นเพื่อ แก้ไขความอยุติธรรมทางประวัติศาสตร์ และปฏิบัติการตามสิทธิเหล่านี้อย่างเต็มที่ (ม.28)
ถึงแม้ประเทศไทยจะมี รัฐธรรมนูญ (ม.72) และเข้าร่วม ปฏิญญา UNDROP ดังกล่าว แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื่องที่ดินก็ยังไม่จบสิ้น ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยต้องเผชิญกับ “ตลกร้าย” เรื่องที่ดินทำกิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าขัน แต่เป็นโศกนาฏกรรมของความเหลื่อมล้ำที่กัดกินชีวิตประชาชนรากหญ้ากว่า 15-17 ล้านคน นี่คือความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนที่ยืดเยื้อที่สุด และถึงเวลาแล้วที่เราต้องพูดความจริง และแก้ไขด้วยกลไกทางกฎหมายที่ถูกต้อง
รัฐได้ประกาศพื้นที่ป่าไม้ไว้ รวมทั้งสิ้น 135 ล้านไร่ แต่ในความเป็นจริง เมื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่จริงและจากภาพถ่ายทางอากาศ เรากลับพบพื้นที่ที่มีสภาพเป็นป่าสมบูรณ์เพียงประมาณ 100 ล้านไร่
ส่วนต่างกว่า 35 ล้านไร่ นั้นคืออะไร? มันคือ "ป่าทิพย์" หรือป่าที่มีอยู่แค่เส้นขีดเขียนบนแผนที่ในห้องแอร์ แต่ในความเป็นจริง พื้นที่เหล่านั้นคือ บ้านเรือน ชุมชน โรงเรียน โรงพยาบาล และที่ทำกินที่ประชาชนอาศัยอยู่มาหลายชั่วอายุคน การนำกฎหมายไปบังคับใช้กับพื้นที่ที่ไม่ใช่ป่าจริง จึงเป็นการสร้าง "ผู้ร้าย" ขึ้นมาจาก "ผู้บริสุทธิ์"
เมื่อย้อนกลับไปดูมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 รัฐบาลในขณะนั้นเคยมีมติให้ "หยุดจับกุม" และเร่ง "พิสูจน์สิทธิ์" เพื่อแยกแยะว่าใครอยู่ก่อนหรือหลังประกาศเขตป่า แต่จนถึงปัจจุบัน ผ่านมากว่า 27 ปี รัฐไม่ทำการพิสูจน์สิทธิ กลับเข้าจับกุมและดำเนินคดีกับประชาชนอย่างต่อเนื่องกว่า 353 คดี (เฉพาะพื้นที่วังน้ำเขียว)
ต้นตอของความล้มเหลวนี้ คือการที่รัฐ "ไม่เคยกำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน" ในการพิสูจน์สิทธิ์ ทำให้คำสัญญากลายเป็นเพียงกระดาษที่ไร้ผล ในขณะที่ประชาชนต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกดำเนินคดี
“มนุษย์ทุกคนมีสิ่งที่เสมอค่ากันคือเวลา แต่เวลาสำหรับคนที่รอความยุติธรรม มันเป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด”
จากการลงพื้นที่ ณ อุทยานแห่งชาติทับลาน และวังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา-ปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 14-15 พ.ย. 2568 ที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากชุมชนและชาวบ้านที่เต็มไปด้วยความคับแค้นใจ อาทิ
ชุมชนไทยสามัคคีได้เกิดขึ้นและมีการทำกินตั้งแต่ก่อนปี 2511 (อ้างถึง 2457) ก่อนที่รัฐจะเริ่มเข้ามาประกาศเขตและนโยบายที่ดินหลายฉบับในภายหลัง โดยในปี 2520 มีการจัดตั้งหมู่บ้าน และมอบที่ทำกิน แต่ต่อมาปี 2524 พื้นที่ดังกล่าวถูกประกาศเป็น "อุทยานแห่งชาติทับลาน" ทำให้เกิดการทับซ้อนและดำเนินคดีกับประชาชน แม้ภายหลังจะมีความพยายามรังวัดแนวเขตใหม่ (2534-2543) เพื่อกันพื้นที่ชุมชนออกไป แต่ปัญหาสิทธิทับซ้อนระหว่างการอยู่อาศัยดั้งเดิมกับการประกาศเขตป่าของรัฐก็ยังคงเป็นประเด็นหลัก หรือ
ผู้ที่ได้รับผลกระทบอีกรายหนึ่ง คือ คุณป้าร้านขายอาหาร ผู้ทำมาหากินเลี้ยงลูกเพียงลำพัง 3 คน เธอถูกจับกุมในปี 2555 ทั้งที่อยู่มาก่อนตั้งแต่ไม่มีอะไรเลย และยังถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรมว่า "มีนายทุนมาจ้าง" เพียงเพราะพยายามปรับปรุงร้านเพิงพักเล็ก ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
ชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีเล่าทั้งน้ำตาว่า หลังถูกจับกุมได้ถูกหวาดล้อมว่า "รับสารภาพเหอะ... แล้วเรื่องมันก็จะได้จบ" โดยไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงใด ๆ
ความกลัวที่บาดลึกในหัวใจคือ "เรื่องมันก็จะได้จบ” —มันไม่จบ เราน่ะมันจะจบ(ชีวิต)ก่อน” ซึ่งหมายความว่า พวกเขากลัวว่าชีวิตจะดับลงก่อนที่คดีความจะสิ้นสุด
ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐฯ ที่กำลังผลักดัน ไม่ใช่กฎหมายฟอกขาวให้คนผิด และ "ไม่ใช่การแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดิน" อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจผิด แต่กฎหมายฉบับนี้มีหัวใจสำคัญ 2 ประการ คือ
1.การนิรโทษกรรม : เพื่อให้กับชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินคดีในช่วงที่ได้รับการผ่อนผันให้พวกเขาได้กลับมามีสถานะไม่ถูกดำเนินคดี นิรโทษกรรม และมีที่ยืนในสังคมอย่างมีศักดิ์ศรีและสามารถรับสิทธิเท่ากับคนไม่ถูกดำเนินคดี
2.เร่งรัดการพิสูจน์สิทธิ์ : หน่วยงานรัฐต้องดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ที่คั่งค้างมาหลายสิบปีให้แล้วเสร็จ "ภายในกรอบเวลาที่กำหนด" หากใครอยู่มาก่อนรัฐประกาศทับ ต้องได้รับสิทธิ์คืน หากใครบุกรุกทีหลัง ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
โดยเฉพาะ มาตรา 5 ของ (ร่าง) พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่กำลังอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมมาธิการ “บรรดาการกระทำของบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยดังต่อไปนี้ ที่ได้กระทำในบริเวณพื้นที่สงวนหวงห้ามที่ตนอาศัยหรือทำกิน ซึ่งเหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2541 จนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 อันเป็นความผิดตามมาตรา 6 หากการกระทำดังกล่าวเป็นไปเพื่อการดำรงชีพอย่างเป็นปกติธุระ ให้การกระทำนั้นไม่เป็นความผิด และให้ผู้กระทำนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดและไม่ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิด” ซึ่งอาจเป็น “สารตั้งต้น” ในการแก้ปัญหา “ป่าทับคน”
พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ จึงไม่ใช่การแจกที่ดิน แต่คือ "กระดุมเม็ดแรก" เพื่อคืนสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่สูญเสียมานาน รัฐไม่อาจมองเห็นประชาชนเป็นศัตรู หรือมองเห็นชุมชนเป็นเพียงผู้บุกรุกจากรายงานบนหน้ากระดาษได้อีกต่อไป
เราต้อง "คืนความเป็นคน" ให้กับพี่น้องประชาชน และยุติคดีความที่ไม่เป็นธรรม เพื่อให้สังคมไทยเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความเสมอภาคที่แท้จริงครับ
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง
ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐด้านที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ
#ทวีสอดส่อง #นิรโทษกรรมที่ดิน #สิทธิมนุษยชน #ป่าทิพย์ #แก้ปัญหาที่ดินทำกิน #ความยุติธรรม #ที่ดินทำกิน #UNDRIP #ชาวบ้านถูกคดี #ทับลาน #วังน้ำเขียว #ความเหลื่อมล้ำที่ดิน #ข่าวการเมือง








