“พรรคภูมิใจไทย” เดินหน้าประกาศยุทธศาสตร์สู้ศึกเลือกตั้งในพื้นที่ กทม. “โสภณ-ศุภมาส” หัวหน้าทีม กทม. ที่ลั่นกระแสพรรคดีวันดีคืนหลัง “อนุทิน” เป็นนายกฯ ประกาศชัดเจนเป็น "พรรคนักปฏิบัติ พูดแล้วทำ" ด้วยนโยบายโดนใจอย่าง "คนละครึ่งพลัส" และย้ำหมัดเด็ด "Quick Big Win" เตรียมทยอยเปิดตัวนักการเมืองคุณภาพเข้าร่วมทีมสู้ศึก พร้อมเปิดตัว “ลลิตา ฤกษ์สำราญ” คืนสู่สังเวียน
วันที่ 19 พ.ย.2568 ที่พรรคภูมิใจไทย นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคภูมิใจไทย, น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมกทม.พรรคภูมิใจไทย ให้การต้อนรับ นางลลิตา ฤกษ์สำราญ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.กทม.ที่มาสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทย
ทั้งนี้นายโสภณ ได้ประกาศยุทธศาสตร์ปักธง สส.เขตใน กทม. ว่า ในอดีตกระแสพรรคอยู่ในลำดับกลางถึงท้าย การที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงเดือนกว่า ทำให้กระแสความเชื่อมั่นใน กทม.พลิกผัน โดยเชื่อว่าพรรคสามารถบริหารประเทศได้ การเลือกตั้งที่่จะถึงพรรคจึงมีแรงดึงดูดให้บุคคลที่มีคุณภาพมาร่วมงาน โดยเน้นการผสมผสานนักการเมืองที่มีประสบการณ์ มีคุณภาพกับนักการเมืองที่มีแนวความคิดใหม่ พรรคการเมืองแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ใช้ "วาทกรรมอุดมการณ์" ซึ่งไม่เคยนำมาสู่การปฏิบัติได้ และพรรคภูมิใจไทยจัดอยู่ในกลุ่มนักปฏิบัติ เรามาเป็นรัฐบาลเราลงมือทำทันที ที่เราใช้สโลแกน "พูดแล้วทำ" และมีการเพิ่มสโลแกนใหม่ "Quick Big Win" ประเทศไทยต้องเดินเร็ว ต้องทำใหญ่ และต้องชนะสำเร็จ อย่างนโยบายคนละครึ่งพลัส นโยบายต่อยอดที่พยายามทำดีกว่าเดิม เชื่อว่ากทม.คราวนี้เราปักธงได้อย่างแน่นอน จะทยอยนำนักการเมืองที่มีคุณภาพมาเปิดตัว เพื่อสร้างความเชื่อมั่น"
ด้านน.ส.ศุภมาส กล่าวถึงยุทธศาสตร์การเดินหน้าสู่การเลือกตั้งในพื้นที่กทม.ว่า ขณะนี้มีอดีต สส.สก.ติดต่อมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้พรรคมีมติส่งผู้สมัคร สส.กทม.เราเปิดรับเต็มรูปแบบไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์การทำงาน หรือเด็กรุ่นใหม่ไฟแรง เพศชาย เพศหญิง หรือ LGBTQ เราเน้นเรื่องความเสมอภาค หากท่านใดมีความมุ่งมั่น ที่จะมาร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย ที่พูดแล้วทำ เพื่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชน และมีความประสงค์จะมาเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคเรายินดีอ้าแขนเปิดรับทุกท่านที่มีอุดมการณ์ และคิดว่าตนมีความสามารถ ความตั้งใจแล้วสามารถเดินมายื่น เป็นว่าที่ผู้สมัครในเขตกทม.ได้ตลอดเวลา
ขณะที่นางลลิตา กล่าวว่า แม้จะห่างหายจากเวทีการเมืองตั้งแต่ปี 2550 แต่ก็ยังคงผูกพันกับประชาชนในพื้นที่และติดตามงานสาธารณะมาโดยตลอด ยอมรับว่าตัดสินใจกลับสู่การเมืองเพราะเห็นว่าพรรคภูมิใจไทยเป็น พรรคนักปฏิบัติ พูดแล้วทำ และนโยบายที่โดนใจอย่างคนละครึ่งพลัสที่ออกมาเพียงเดือนกว่าได้ช่วยประชาชนระดับรากหญ้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำให้ชาวบ้านและร้านค้าที่บอกว่าขายไม่ดีมานานมาก แต่วันนี้ขายดีขึ้นทันตา เพราะประชาชนเดือดร้อนมากจริงๆ








