วันที่ 16 พ.ย2568 เวลา 13.25 น.ที่พรรคภูมิใจไทย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงสองวันที่ผ่านมานายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ได้ชี้แจงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับประเด็นการเจรจาเรื่องภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ที่เป็นสักขีพยานและผู้สังเกตการณ์ในการทำปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชา ต่างแสดงความไม่สบายใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USR) ได้มีหนังสือขอให้ระงับการพูดคุยเรื่องภาษีไว้ก่อน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หลังจากการแจ้งระงับดังกล่าวท่านนายกรัฐมนตรีได้มีการพูดคุยกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ท่านนายกฯ ได้ชี้แจงเหตุผลว่า ผู้ที่ละเมิดปฏิญญาสันติภาพไม่ใช่ฝ่ายไทย แต่เป็นฝ่ายกัมพูชา โดยกัมพูชาได้ละเมิดเงื่อนไขข้อ 2 ของแผนสันติภาพ ด้วยการมาวางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดเงื่อนไขจากการที่พวกเขาไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดครบทุกจุดตามที่กำหนด แต่กลับไปวางระเบิดใหม่แทน ซึ่งประเทศไทยยอมรับไม่ได้
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ประเทศไทยจะดำเนินการด้วยความรอบคอบและแผนสันติภาพจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ การแสดงความจริงใจดังกล่าวรวมถึงการหาผู้รับผิดชอบ, การขอโทษญาติผู้เสียชีวิต, การขอโทษคนไทยอย่างจริงใจ, และการกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต เช่น การให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ฝั่งกัมพูชา
“เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับฟังจากท่านนายกฯ ก็เกิดความเข้าใจ และต่อมาท่านนายกฯ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ก็ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และยืนยันถึงความเข้าใจร่วมกันนี้ พร้อมยืนยันว่า การเจรจาเรื่องภาษีจะยังคงเดินหน้าต่อไป โดยแยกออกจากประเด็นการจัดการชายแดน รัฐบาลไทยยืนยันว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกท่านที่เกี่ยวข้องมุ่งมั่นที่จะดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ, อธิปไตยของแผ่นดินไทย, และผลประโยชน์โดยรวมของชาติไทยเป็นหลัก แม้ว่าบางสถานการณ์อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ท่านนายกฯ ก็พยายามแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด การได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนจากผู้นำที่เป็นสักขีพยาน เช่น ประธานาธิบดีทรัมป์และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (อันวาร์ อิบราฮิม) ทำให้ทิศทางการดำเนินการของฝ่ายไทยมีความกระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น” นายสิริพงศ์ กล่าว
เมื่อถามว่าข้อวิจารณ์คำพูดของผู้นำไทยเป็นการท้าทายสหรัฐฯ โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า วันนี้เสียงจากสหรัฐฯ และมาเลเซียก็ชัดเจนแล้วว่าข้อกล่าวหานี้ไม่ใช่สาระสำคัญ ท่านนายกฯ ส่วนมากนายกฯจะตอบคำถามตามที่นักข่าวสอบถาม เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะไม่ซื้อสินค้า ท่านนายกฯ ตอบตามหลักเหตุผลว่า ไทยก็จำเป็นต้องหันไปแสวงหาตลาดอื่น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็ได้ยืนยันว่าการค้าขายกับสหรัฐฯมีความจำเป็น แต่ก็ต้องหาทางเลือกอื่นเพื่อขยายตลาดส่งออกให้กับคนไทยด้วยเช่นกัน
เมื่อถามว่ามีการกำหนดระยะเวลาที่จะให้กัมพูชาหรือไม่ต้องขดโทษไทยเมื่อไหร่ นายสิริพงศ์ กล่วาว่า ไม่มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ทุกเรื่องในการดำเนินการจนกว่าเขาจะทำ หมายความว่าสิ่งที่เราจะทำต่อเขาด้วย ก็ไม่ได้มีการกำหนดเวลา ซึ่งพรุ่งนี้ทางกระทรวงกลาโหมเขาก็จะกำหนดแผนใหม่ประมาณ 6 แผน สำหรับการดำเนินการเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งจะมีรายละเอียดแต่ละเรื่องที่แตกต่างจาก 4 เรื่องเดิมอย่างไร
เมื่อถามว่าไทยจะมีการตอลโต้ข่าวปลอม (Fake News) จากกัมพูชา นายสิริพงศ์ กล่าวว่า หน้าที่หลักของไทยคือการนำเสนอข้อเท็จจริงของเรา ถ้าเสนอข่าวปลอมเราก็ทำให้ความกระจ่างเกิดขึ้น เราไม่รู้ว่าเขาจะปล่อยข่าวเฟกนิวส์อะไร และเราจะไปกันข่าวปลอมได่อย่างไร แต่เราก็ต้องโต้ตอบให้เร็วที่สุด สิ่งที่เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดคือการที่กระทรวงการต่างประเทศกำลังทำความเข้าใจกับนานาประเทศ โดยขณะนี้ประเทศสมาชิกอาเซียนรับทราบเรื่องเหล่านี้หมดแล้ว การที่คณะกรรมการ AOT ยืนยันชัดเจนว่าระเบิดเป็นระเบิดใหม่ และการที่สำนักข่าวมาเลเซียที่ลงข่าวผิดได้ออกมาขอโทษ ก็เป็นหลักฐานการทำงานที่รวดเร็วของฝ่ายไทย
เมื่อถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเสียหายหรือไทยและไทยจะเรียกร้องอะไรหรือไม่ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า สำหรับสื่อที่นำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือบิดเบือน ควรออกแถลงการณ์แสดงความรับผิดชอบ และขอโทษ พร้อมแก้ไขข่าวให้ถูกต้อง เราก็หวังว่าสื่อต่างๆจะแสดงข้อมูลที่ครบถ้วน เช่นข่าวเมื่อวานนี้ที่ระบุว่า US ระงับภาษี แต่ในความเป็นจริง หากอ่านทั้งหมดจะพบว่าท่านนายกฯ ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์จนเกิดความเข้าใจตรงกันแล้ว จึงหวังให้สื่อนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วน
โฆษกรัฐบาล กล่าวต่อว่า ในวันพรุ่งนี้ เวลา 14.00 น. จะมีการแถลงแผนและแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทำเนียบรัฐบาล (สันติไมตรี) ผู้ร่วมแถลงประกอบด้วย โฆษกรัฐบาล, โฆษกกระทรวงกลาโหม, โฆษกทุกเหล่าทัพ, โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (เพื่อแถลงแนวทางด้านการต่างประเทศ), และคาดว่าจะเป็นอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจากกระทรวงพาณิชย์ (เพื่อแถลงแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา)







