การเมืองทั่วไป

“ดร.นพดล” ชี้ไทยคุมเกมศึกเขมรเหนือกว่า ชนะโดยไม่ต้องรบ

แชร์ข่าว

"ดร.นพดล" เปิดบทเรียนรบทั่วโลก ชี้ไทยกำลังชนะรบเขมรทั้งกระดาน โดยไม่ต้องยิงแม้แต่นัดเดียว

วันที่ 16 พ.ย.68 ดร.นพดล กรรณิกา อดีตผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองทัพบก ปี 2557 และศิษย์เก่าด้านการจัดการนโยบาย-ยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัย จอร์จทาวน์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา หลักสูตรเรียนร่วม คณะนายทหาร ระดับ Joint Chiefs of Staff (JCS) กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา และศิษย์เก่า ด้าน วิทยาการข้อมูล (Data Science & Methodology) มหาวิทยาลัย มิชิแกน สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ เอกสารข่าว : บทเรียนจากโลกจริง เมื่อผู้นำเลือก “รบเพื่อเอาใจประชาชน” ซึ่งเขียนโดย ดร.นพดล กรรณิกา

แต่ประเทศต้องจ่ายราคาแพงนานหลายทศวรรษ

เสียงเรียกร้องให้ “เอาคืน-ยึดคืน-รบตอบโต้” มักเกิดขึ้นพร้อมอารมณ์ชาตินิยม แต่ประวัติศาสตร์โลกพิสูจน์แล้วว่าผู้นำประเทศและกองทัพที่ยอมเปิดศึกเพื่อหวังคะแนนนิยม มักทำให้ประเทศต้องจ่ายราคาแพงที่สุดและเป็นราคาที่ลูกหลานต้องรับแทน ด้านล่างนี้เป็นกรณีศึกษาที่ เกิดขึ้นจริง และเป็นตัวอย่างชัดเจนของประเทศที่ “ได้ใจประชาชนช่วงสั้น แต่สูญเสียโอกาสหลายสิบปี” เพราะเลือกใช้สงครามแทนยุทธศาสตร์

สืบเนื่องจาก สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุทหารไทยเหยียบกับทุ่นระเบิด PMN-2 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ทำให้สังคมไทยสั่นสะเทือน และก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ “รบ-ยึดคืน” จากประชาชนจำนวนหนึ่งในสื่อออนไลน์ แต่ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลไทยได้เดินหมากด้วย Strategic Pause การหยุดเชิงยุทธศาสตร์ที่สงบนิ่ง แต่มีพลังเทียบเท่าการรบเต็มรูปแบบในยุคใหม่

เบื้องหลังความนิ่งนี้ คือหลักยุทธศาสตร์สากลที่ใช้โดยมหาอำนาจโลกและคือหลักคิดที่พิสูจน์แล้วว่าการ “ชนะโดยไม่ต้องรบ” นั้นยั่งยืนกว่าการรบที่ได้ใจเพียงชั่วคราว ประวัติศาสตร์โลกให้คำตอบอย่างชัดเจนว่าประเทศที่เลือกสงครามเพื่อเรียกคะแนนนิยม มักต้องชดใช้ผลเสียยาวนาน 30-60 ปี ขณะที่ประเทศที่เลือกความฉลาด สุขุม และความชอบธรรม สามารถรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ได้ยาวนานกว่า

ผมได้ค้นความข้อมูลมาแชร์ กรณีศึกษาจริงจากนานาชาติ เพื่อสะท้อนข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์ว่าการรบแม้เพียงครั้งเดียวอาจทำให้ประเทศต้องล้มเหลวทางเศรษฐกิจ การทูต และโครงสร้างรัฐนานหลายทศวรรษ

กรณีที่ 1 เวียดนาม - ชนะสงคราม แต่แพ้การพัฒนาประเทศไปกว่า 20-30 ปี ความจริงทางประวัติศาสตร์ คือ หลังสงครามเวียดนาม (1975) และการรุกเข้าไปกัมพูชา (1978) ซึ่งประชาชนเวียดนามจำนวนมาก “ปลื้ม” ว่าประเทศมีอำนาจ แข็งแกร่ง และชนะศัตรู แต่ผลที่ตามมาคือผลเสียทางเศรษฐกิจ–การทูตร้ายแรงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

1) เวียดนามถูกคว่ำบาตรเต็มรูปแบบกว่า 19 ปี

1975–1994

- สหรัฐคว่ำบาตร

- สหภาพยุโรปคว่ำบาตร

- ญี่ปุ่นระงับความช่วยเหลือ

- อาเซียนประณาม

- การลงทุนต่างชาติเป็นศูนย์

ผลคือ GDP โตต่ำที่สุดในอาเซียน และประชาชนยากจนอย่างกว้างขวาง

2) ถูกโดดเดี่ยวจากเวทีโลก (International Isolation)

หลังรุกเข้ากัมพูชา เวียดนามถูกมองว่าเป็น “ประเทศรุกราน” ขาดความชอบธรรมทางการทูต ไม่ได้รับการยอมรับ แม้ในเวที UN

3) ถูกจีนลงโทษ (สงครามจีน–เวียดนาม 1979)

จีนโจมตีเต็มรูปแบบตามชายแดน ทำให้เวียดนามสูญเสียกำลังพลจำนวนมากและต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการป้องกันตนเองต่อเนื่องหลายปี

4) คนเวียดนามถูกจำกัดการเดินทางต่างประเทศอย่างยาวนาน

ระดับความเข้มงวดใกล้เคียงประเทศปิดประเทศ ทำให้แรงงาน–นักศึกษา–ประชาชนเสียโอกาสรุ่นต่อรุ่น

5) ฟื้นตัวช้ามาก ใช้เวลายาวนานกว่า 30 ปี

เวียดนามเพิ่งเริ่มผงาดทางเศรษฐกิจจริง ๆ หลังปี 2005 เท่ากับว่าสงครามทำให้เสียโอกาสเกือบ หนึ่งชั่วอายุคนเต็ม ๆ

บทเรียน

การรบ “ทำให้ได้ใจ” ประชาชนช่วงสั้น แต่ประเทศต้องเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ–การทูตนานกว่าที่ชนะในสนามรบหลายเท่า

กรณีศึกษา 2 อาร์เจนตินา - รบ Falklands ได้ใจทั้งชาติ แต่ประเทศล่มสลายปี 1982 รัฐบาลเผด็จการอาร์เจนตินา สั่งทหารยึดหมู่เกาะ Falklands เพื่อ “ปลุกกระแสชาตินิยม” ประชาชนกว่า 90% สนับสนุนรัฐบาลทันที

ผลลัพธ์คือหายนะระดับประเทศ

- แพ้สงครามภายใน 10 สัปดาห์

- หนี้ต่างประเทศพุ่ง

- เงินเฟ้อ 3,000%

- เศรษฐกิจล่มทั้งระบบ

- ผู้นำถูกโค่น

- ประเทศจมในวิกฤติยาวนานถึงปัจจุบันกว่า 40 ปี

บทเรียน

ได้ใจเพียงไม่กี่เดือน แต่เสียประเทศไปหลายสิบปี

กรณีศึกษา 3 อิรักบุกคูเวต ชนะใจคนในประเทศ แต่แพ้ทั้งโลก ปี 1990 อิรักบุกคูเวต ประชาชนชื่นชมผู้นำ เกิดกระแสชาตินิยมรุนแรง แต่ผลที่ตามมาคือ

- UN คว่ำบาตรเต็มรูปแบบ

- เศรษฐกิจล่มสลาย

- รัฐอ่อนแอและไร้เสถียรภาพ

- ประชาชนอดอยาก

- ประเทศฟื้นกลับมาไม่ได้จนถึงปัจจุบัน

บทเรียน

ความสะใจชั่วคราว ไม่คุ้มกับความล่มจมของรัฐ

กรณีศึกษา 4 รัสเซีย-ยูเครน สงครามที่ทำลายเศรษฐกิจไปหลายทศวรรษ

- แม้รัสเซียจะมีประชาชนบางส่วนสนับสนุนการรบ

- แต่ผลกระทบคือหนักที่สุดในโลกสมัยใหม่:

- ถูกคว่ำบาตร 15,000 รายการ

- บริษัทต่างชาติออกไปกว่า 1,000 แห่ง

- เงินลงทุนไหลออกมหาศาล

- ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายทั่วโลก

- การพัฒนาเทคโนโลยี–เศรษฐกิจหยุดชะงัก

บทเรียน

การรบครั้งเดียว ทำลายโอกาสประเทศไปอีกหลายทศวรรษ

กรณีศึกษา 5 ปากีสถาน - รบกับอินเดีย ได้ใจประชาชน แต่เสียประเทศ ปากีสถานเข้าสู่สงครามหลายครั้งเพื่อรักษาศักดิ์ศรีแต่ผลคือ

- แพ้สงคราม

- เสียบังกลาเทศ

- เศรษฐกิจอ่อนแอ

- โครงสร้างรัฐถอยหลังยาวนานเทียบอินเดีย

บทเรียน

ชัยชนะบนอารมณ์ ไม่สามารถแทนที่ความมั่นคงของรัฐชาติได้

ข้อสรุปเชิงยุทธศาสตร์สำหรับประเทศไทย

- ตอนนี้ไทยถือความชอบธรรมเต็ม 100%

- หลักฐานชัดเจนว่าไทยถูกคุกคามก่อน

- ทุ่นระเบิด PMN-2 ไม่ใช่อาวุธไทย

- พื้นที่เกิดเหตุอยู่ในโซนที่กำลังเจรจาลดอาวุธ

การหยุดของรัฐบาลคือการคุมเกมทั้งกระดาน ประเทศไทยสามารถ Freeze กระบวนการทางทหาร–การทูตทั้งหมด ทำให้สถานการณ์อยู่ในมือไทยอย่างสมบูรณ์ หากไทยรุกหรือเปิดศึก ความชอบธรรมจะกลับหัวทันทีจาก “ผู้ถูกละเมิด” → กลายเป็น “ผู้รุกราน” ทำให้สูญเสียความได้เปรียบทั้งหมดในทันที

สงครามที่ได้ใจคนแค่สัปดาห์เดียว อาจทำให้เสียประเทศไป 50–60 ปี ทุกประเทศในประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า ถ้าตัดสินใจรบ จะได้ใจประชาชนระยะสั้น แต่ความสะใจนั้นแพงที่สุด และลูกหลานของเราเป็นผู้จ่าย

ข้อสังเกตสุดท้าย

- ประเทศไทยกำลังชนะ — ด้วยยุทธศาสตร์ที่เหนือกว่าสงคราม

- ประเทศไทยไม่ขี้ขลาด แต่ประเทศไทย ฉลาดกว่า สุขุมกว่า ชอบธรรมมากกว่า

วันนี้ไทยได้เปรียบทั้งความชอบธรรม กฎหมายระหว่างประเทศ มติสังคมโลก ความถูกต้องเชิงยุทธศาสตร์ กระแสสนับสนุนในชาติ หลักฐานภาคสนาม และจังหวะเวลาที่เหนือกว่า

สิ่งที่ไทยต้องทำคือ

รักษาความจริง – รักษาความชอบธรรม – คุมเกมต่อไปอย่างสุขุม กองทัพไทยเตรียมบทโหด แต่อย่าเพลี่ยงพล้ำเปิดศึก นี่คือชัยชนะที่ไม่ต้องรบและเป็นชัยชนะที่ยั่งยืนที่สุดตามหลักของซุนวู Sun Tzu และทฤษฎีสมัยใหม่ของ JCS

“การชนะศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการชนะโดยไม่ต้องรบ”

ประเทศไทยกำลังอยู่ในตำแหน่งนั้นแล้ว

และเราต้องไม่ทำให้ความได้เปรียบนี้สูญเปล่า

ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/16Su5YWMkf/?mibextid=wwXIfr