การเมืองท้องถิ่น

"ส.ก.เนอส" ชี้ถึงเวลาเปลี่ยนโครงสร้าง กทม. พรรคประชาชนหวังคุมเสียงสภา

แชร์ข่าว

รายงานพิเศษ

กระแสการเมืองท้องถิ่น "โต๊ะ กทม." กลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้ง หลังพรรคประชาชนประกาศส่งผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) สู้ศึกเลือกตั้งครบทั้ง 50 เขต พร้อมเตรียมเปิดตัวผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 พฤศจิกายนนี้ โดยมีกระแสข่าวเชื่อว่าผู้ท้าชิงคนดังกล่าวคือ นาวาอากาศตรี ศิธา ทิวารี หรือ ผู้พันปุ่น

นางสาวภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก. เขตบางซื่อ สังกัดพรรคประชาชน ในฐานะหนึ่งในกุนซือให้กับว่าที่ผู้สมัครโต๊ะ กทม. ของพรรค ยอมรับว่า เวทีการเมืองท้องถิ่น กทม. นี้ไม่ง่าย เนื่องจากมีเจ้าที่อยู่ทุกตารางนิ้ว และเป็นเวทีที่ทั้งบู๊ทั้งชน อย่างไรก็ตาม มองว่าการเมืองท้องถิ่น กทม. ยังมีช่องว่างและเหตุผลที่เปิดโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

"การเลือกตั้ง กทม. ครั้งนี้ เราจะมุ่งมั่นในการเป็นรัฐบาล และหากได้รับตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าฯ จะเข้ามาแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน อาจยังไม่ได้ดำเนินการอย่างชัดเจนหลายเรื่อง เช่น ปัญหาการทุจริต หรือเรื่องของโรงขยะมูลฝอยอ่อนนุช ผู้ว่าฯ คนปัจจุบันมีความประนีประนอมมากเกินไป ทั้งกับ ส.ก. และข้าราชการ ทำให้ปัญหาที่ได้รับการแก้ไขมักเป็นเพียงเรื่องเส้นเลือดฝอย และทำให้ปัญหาทุจริตไม่จบสิ้น ในทางกลับกัน พรรคเชื่อว่าต้องแก้ไขที่เส้นเลือดหลักหรือเส้นเลือดใหญ่"

นางสาวภัทราภรณ์กล่าวว่า เป้าหมายหลักในการเลือกตั้งคือ ต้องการ ส.ก.เข้าไปในสภาจำนวนมากที่สุด เพื่อตรวจสอบเรื่องการทุจริตให้ลดน้อยลงไป และต้องการเสียงโหวตส่วนใหญ่ในสภาเพื่อผลักดันโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชน เช่น โครงการเกี่ยวกับเรื่องแผ่นดินไหวของผู้ว่าฯ ซึ่งเคยมีการผลักดัน แต่โครงการก็ไม่ผ่าน นอกจากนี้ หากพรรคได้รับ ส.ก.เกินครึ่ง ก็จะสามารถผลักดันตำแหน่งประธานสภา ซึ่งอำนาจของประธานสภามีมากพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานของสภา กทม.ได้ สิ่งที่คาดหวังคือการทำให้เกิดสภาโปร่งใส เช่น การเปิดเผยข้อมูลการทำงานของ ส.ก. และเปิดเผยผลการโหวตแบบสภาใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนควรรับรู้ว่าผู้แทนมีความคิดเห็นอย่างไร ปัจจุบันการเปิดเผยดังกล่าวขึ้นอยู่กับประธานสภา

เหตุผลที่ต้องลงชิงทั้ง ส.ก. และ ผู้ว่าฯ กทม. เพื่อต้องการให้ ส.ก.ที่จะเข้าไปในสภา มีบทบาทการทำงานร่วมกับผู้ว่าฯ อย่างเป็นทีม โดย ส.ก. จะต้องมีคุณภาพทั้งในงานพื้นที่และงานสภา ซึ่งในปัจจุบัน จากที่สังเกต ส.ก.จากหลายพรรคมักจะเน้นไปที่งานพื้นที่และการเป็นฐานเสียงให้ ส.ส.มากกว่างานสภา นางสาวภัทราภรณ์เห็นว่า แท้จริงแล้ว ส.ก.สามารถทำได้หลายอย่างในการแก้ไขปัญหาจากในสภา ส.ก.ถือเป็นแขนขาของผู้ว่าฯ ในการลงรายละเอียดรายเขต เพราะผู้ว่าฯ เองไม่มีทางที่จะทราบรายละเอียดทุกตรอกซอกซอยได้ ส.ก.จะลงรายละเอียดรายเขต และจะมีนโยบายรายเขตออกมาด้วย นอกเหนือจากนโยบายรวมของ กทม. จากแคนดิเดตผู้ว่าฯ

นางสาวภัทราภรณ์กล่าวว่า นโยบายหลักของแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. และจุดยืนของพรรค คือเรื่องการตรวจสอบการทุจริต ซึ่งจะเดินหน้าอย่างเต็มที่ โดยแนะนำให้ผู้สมัคร ส.ก.หน้าใหม่ในพรรคทำงานลงพื้นที่อย่างหนักและละเอียด ไม่ใช่แค่การเดินไปขอคะแนนเสียง แต่เป็นการลงไปเรียนรู้ว่าจุดไหนมีปัญหาอะไร และชาวบ้านต้องการอะไร สิ่งสำคัญคือ ต้องมีข้อเสนอที่เป็นทางออกให้กับปัญหา และคิดให้จบกระบวนการ ไม่ใช่แค่การโวยวายปัญหาในสภาแล้วหวังให้ข้าราชการแก้ไขให้

ในการประเมินกระแสการเมือง นางสาวภัทราภรณ์มองในมุมส่วนตัวว่า การเมือง กทม. คือการเมืองท้องถิ่น ซึ่งโดยธรรมชาติจะอิงกับตัวบุคคลค่อนข้างมาก ดังนั้น ผู้สมัครต้องทำตัวเองให้เป็นแคนดิเดตที่น่าเลือก ขณะที่คะแนนพรรคถือเป็นโบนัส

สำหรับวาระส่วนตัวในฐานะ ส.ก. เขตบางซื่อ รอบนี้ จะเน้นการผลักดันโครงการที่ทำค้างไว้แล้วครึ่งทางให้เสร็จสิ้นในสมัยหน้า พร้อมกับมีโครงการใหม่ที่จ่อรอทำ และยังคงยืนยันในเรื่องการตรวจสอบการทุจริตเช่นเดิม

ในเรื่องของการแข่งขันและการลงพื้นที่ ส.ก.เนอสมองว่า ต้องระวังเรื่องกฎหมายเลือกตั้งที่ยาวนานขึ้น (180 วัน) และต้องพร้อมเผชิญหน้ากับการเมืองทุกรูปแบบ จากเจ้าที่ที่ต้องการรักษาแชมป์ วิธีสู้คือการทำงานให้หนักและพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าเป็นแคนดิเดตที่ดีกว่าคนเก่า ทั้งนี้ การแข่งขันอาจมี "ลูกไม้" ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ต้องพร้อมรับมือ

นางสาวภัทราภรณ์ยังได้เน้นย้ำถึงประเด็นที่ประชาชนมักสับสนระหว่างผลงานของ ส.ก. กับผลงานของข้าราชการประจำ โดยยอมรับว่างานพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ ส.ก.ทำ เป็นงานที่ข้าราชการควรทำอยู่แล้ว แต่เมื่อชาวบ้านแจ้งไปแล้วไม่ทำ ส.ก.ก็ต้องไปกระตุ้นหรือผลักดัน ผลงานที่ ส.ก.ภาคภูมิใจคือสิ่งที่ได้ลงแรงทำจริง ๆ เช่น การผลักดันในสภา หรือการ "บู๊หลังบ้าน" คุยกับหน่วยงานต่าง ๆ 4-5 หน่วยงานเพื่อให้เรื่องเกิดขึ้น คืบหน้าขึ้น

นอกจากนี้ พรรคประชาชนกำลังผลักดันการแก้ไขพระราชบัญญัติ กทม. เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งผู้อำนวยการเขต (ผอ. เขต) โดยใช้ชื่อเรียกว่า "นายกเขต" เนื่องจากปัจจุบัน ผอ.เขต เป็นสายข้าราชการที่ยึดโยงกับผู้ว่าฯ ฝ่ายบริหาร แต่พรรคคาดหวังให้ ผอ.เขต มาจากการเลือกตั้งเพื่อให้ยึดโยงกับประชาชน หากมีการเลือกตั้งนายกเขต งานท้องถิ่นและงานพื้นที่จะไปอยู่กับนายกเขต และ ส.ก.จะได้กลับมาเน้นการตรวจสอบงบประมาณและดูแลเรื่องข้อบัญญัติที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกรุงเทพมหานครโดยรวม

ข่าวแนะนำ