เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พนักงานอัยการญี่ปุ่นยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เท็ตสึยะ ยามางามิ จำเลยในคดีลอบสังหาร ชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อปี 2565 โดยคดีสะเทือนขวัญดังกล่าวได้จุดชนวนให้สังคมญี่ปุ่นหันมาตรวจสอบบทบาทของ “ลัทธิมูน” หรือ Unification Church และความเชื่อมโยงกับนักการเมืองญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง
รายงานของ Kyodo News ระบุว่า ในการพิจารณาคดีต่อหน้าศาลจังหวัดนาระ ยามางามิยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุสังหารอาเบะจริง โดยอ้างแรงจูงใจจากความแค้นต่อ ลัทธิมูน หลังมารดาบริจาคเงินให้กลุ่มศาสนาดังกล่าวเป็นจำนวนมากจนทำให้ครอบครัวล่มสลาย โดยศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 21 มกราคม 2569
อัยการแถลงปิดคดีว่า “ไม่มีเหตุผลใดที่สมควรได้รับความปรานี” พร้อมคัดค้านการลดหย่อนโทษให้แก่จำเลยวัย 45 ปี ซึ่งก่อเหตุใช้ปืนประดิษฐ์ขึ้นเองยิงอาเบะเสียชีวิต ระหว่างการปราศรัยหาเสียงในเมืองนาระ ทางตะวันตกของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565
ฝ่ายอัยการชี้ว่า แม้ปูมหลังชีวิตของยามางามิจะน่าเห็นใจ แต่ไม่อาจใช้เป็นเหตุอ้างลดโทษได้ เนื่องจากจำเลยบรรลุนิติภาวะและสามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้แล้ว ขณะเดียวกัน คดีนี้พิจารณาภายใต้ระบบลูกขุนภาคประชาชน (Lay Judge System)
ยามางามิให้การต่อศาลว่า เดิมตั้งเป้าลอบสังหาร ฮัน ฮัก จา ผู้นำลัทธิมูน แต่การระบาดของโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงตัวได้ จึงเปลี่ยนเป้าหมายมายังอาเบะ หลังพบว่าอดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้เคยส่งวิดีโอร่วมงานที่จัดโดยเครือข่ายของลัทธิ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโจทก์โต้แย้งว่า การเปลี่ยนเป้าหมายมาสังหารอาเบะเป็น “ตรรกะที่ไร้เหตุผลรองรับ” และสะท้อนทัศนคติที่มองโลกด้านเดียว รวมถึงความไม่แยแสต่อชีวิตผู้อื่นอย่างชัดเจน
ด้านทนายจำเลยระบุว่า มารดาของยามางามิบริจาคเงินให้ลัทธิมูนสูงถึง 100 ล้านเยน หรือราว 640,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ครอบครัวล้มละลาย ซึ่งศาลควรพิจารณาเป็นปัจจัยบรรเทาโทษ โดยระหว่างการพิจารณาคดีมีการเปิดเผยว่า มารดาของจำเลยเข้าร่วมลัทธิมูนตั้งแต่ปี 2534 หลังสามีฆ่าตัวตายในปี 2527 ต่อมายามางามิเคยพยายามฆ่าตัวตายในปี 2548 ขณะที่พี่ชายซึ่งโกรธแค้นเรื่องการบริจาคเงินของแม่ ได้จบชีวิตตนเองในปี 2558
ก่อนอัยการจะแถลงปิดคดี ทนายความผู้แทนของ อากิเอะ อาเบะ ภริยาม่ายของอาเบะ ได้อ่านแถลงการณ์แทนเธอ ระบุว่า การจากไปอย่างกะทันหันของสามีสร้างความตกใจอย่างรุนแรง พร้อมเรียกร้องให้ศาลลงโทษจำเลยอย่างสาสม ทั้งนี้ อากิเอะไม่ได้เดินทางมาปรากฏตัวต่อศาลในวันดังกล่าว
ยามางามิเชื่อว่า อาเบะ ซึ่งมีอายุ 67 ปีขณะถูกลอบสังหาร เป็น “ศูนย์กลางความเชื่อมโยงทางการเมืองของลัทธิมูน” ในญี่ปุ่น เนื่องจากยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองสูง แม้จะก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2563 แล้วก็ตาม
ภายหลังแรงจูงใจของจำเลยถูกเปิดเผย สังคมญี่ปุ่นเริ่มตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองพรรค Liberal Democratic Party (LDP) กับลัทธิมูนอย่างเข้มข้น โดยมีรายงานว่านักการเมืองบางรายได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มศาสนาดังกล่าวในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นได้ออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมการระดมทุนที่ใช้การล่อลวงหรือชักจูงเกินควร และสังคมยังหันมาให้ความสนใจต่อปัญหาความทุกข์ยากของบุตรหลานสาวกลัทธิมูน หรือที่เรียกว่า “สาวกรุ่นที่สอง” มากยิ่งขึ้น
#อาเบะ #ลอบสังหารอาเบะ #อัยการญี่ปุ่น #ลัทธิมูน #UnificationChurch #ข่าวญี่ปุ่น #คดีสะเทือนขวัญ #การเมืองญี่ปุ่น








