วันที่ 16 ธ.ค. 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กรมตำรวจนครบาลลอสแอนเจลิส (LAPD) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้จับกุม นิก ไรเนอร์ วัย 32 ปี ในข้อหาฆาตกรรม ร็อบ ไรเนอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์และนักแสดงชื่อดังของฮอลลีวูด ผู้เป็นบิดา และ มิเชล ซิงเกอร์ ไรเนอร์ ช่างภาพ ผู้เป็นมารดา หลังพบศพของทั้งสองภายในบ้านพักเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่พบร็อบ ไรเนอร์ วัย 78 ปี และมิเชล วัย 70 ปี เสียชีวิตภายในบ้านพักย่านเบรนต์วูด นครลอสแอนเจลิส เมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ สภาพศพมีบาดแผลถูกแทงหลายแห่ง ต่อมาพนักงานสอบสวนสรุปว่าเป็นเหตุฆาตกรรม และระบุตัวนิก ไรเนอร์ บุตรชาย เป็นผู้ต้องสงสัยหลักและผู้ก่อเหตุ
ตำรวจได้จับกุมนิกในคืนวันอาทิตย์ และควบคุมตัวไว้โดยไม่อนุญาตให้ประกันตัว แม้เอกสารของเรือนจำจะระบุวงเงินประกันตัวไว้ที่ 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเบื้องต้น โดยพนักงานสอบสวนเตรียมนำสำนวนส่งให้สำนักงานอัยการเขตลอสแอนเจลิสพิจารณาสั่งฟ้องในวันอังคารที่ 16 ธ.ค.นี้
ด้าน จิม แมกดอนเนลล์ ผู้บัญชาการ LAPD แถลงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดว่า ก่อนเกิดเหตุ มีผู้พบเห็นนิกมีปากเสียงกับบิดามารดาในงานเลี้ยงของ โคแนน โอไบรอัน พิธีกรชื่อดัง เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 13 ธ.ค.
รายงานยังระบุว่า นิก ไรเนอร์ มีประวัติการใช้สารเสพติดและเคยเข้ารับการบำบัดมาแล้วอย่างน้อย 17 ครั้ง ตั้งแต่อายุ 15 ปี รวมถึงเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ช่วงหนึ่ง โดยเรื่องราวชีวิตของเขาถูกถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่อง Being Charlie เมื่อปี 2558 ซึ่งนิกเป็นผู้ร่วมเขียนบทกับบิดา
อย่างไรก็ตาม ในการปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในงานเปิดตัวภาพยนตร์ Spinal Tap II: The End Continues นิกมีสีหน้าเคร่งเครียดและเป็นเพียงคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ยิ้มแย้ม
การจากไปของร็อบ ไรเนอร์ สร้างความอาลัยอย่างกว้างขวางในแวดวงบันเทิงและการเมือง เขาเป็นผู้กำกับระดับตำนานที่ฝากผลงานไว้มากมาย อาทิ When Harry Met Sally, Stand by Me และ Misery รวมถึงบทบาทการแสดงที่สร้างชื่อจากซีรีส์ All in the Family
ขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจผ่านสื่อสังคมออนไลน์ แต่ได้พาดพิงถึงสาเหตุการเสียชีวิตโดยเชื่อมโยงกับทัศนคติทางการเมืองของร็อบ ไรเนอร์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต โดยระบุว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาเรียกว่า “โรคเกลียดทรัมป์ขึ้นสมอง” (Trump Derangement Syndrome – TDS)








