วันที่ 15 ธ.ค.68 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ได้แก่
ความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา กรณีที่มีการนำเสนอในโซเชียลมีเดีย นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้ชี้แจงต่อนายกรัฐมนตรีของโทยโดยตรงแล้วว่า ไม่ได้กล่าวว่าให้หยุดยิง เพียงแค่อยากให้การยั่วยุทั้งหลายยุติลง ดังนั้นจึงชัดเจนว่าไม่ได้มีการหารือเรื่องการหยุดยิง คาดว่ากระแสที่ออกไปน่าจะเกิดจากบางฝ่ายตั้งใจส่งต่อและบิดเบือนข้อความเพื่อผลประโยชน์ของตน การจะมีการหยุดจริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับ 2 ประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้ง ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ นอกจากนี้การพูดคุยเรื่องหยุดยิงต้องพูดคุยอย่างจริงใจและเข้าใจสถานการณ์อย่างแท้จริง
พร้อมย้ำว่า คำพูดของกัมพูชาต้องมาพร้อมการกระทำ โดยมี 3 เรื่องหลัก หากจะมีการเจรจา คือ เรื่องแรกกัมพูชาต้องประกาศหยุดยิงก่อน 2 การหยุดยิงต้องเกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ 3 กัมพูชาต้องร่วมมือ ในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างจริงจังและจริงใจ ทั้งหมดนี้ฝ่ายไทยมีบทเรียนมาแล้ว ที่กัมพูชาพูดอย่างทำอย่าง ตกลงอย่างหนึ่งแต่กระทำอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อวานนี้ฝ่ายกัมพูชาได้ดำเนินการทางทหารที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น ขณะที่พูดว่าประสงค์จะให้มีการหยุดยิง มีการยิง BM-21 ไม่เลือกเป้าหมายส่งผลให้พลเรือนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก หากพฤติกรรมของกัมพูชายังเป็นเช่นนี้ ฝ่ายไทยก็ยังจำเป็นที่จะต้องยึดมั่นต่อการดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนต่อไป
จากเหตุการณ์ที่อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีษะเกษเมื่อวานนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ขอแสดงความเสียใจและขอให้ผู้บาดเจ็บฟื้นตัวโดยเร็ว ขอย้ำว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ ไทยจึงขอประณาม อย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำอันโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ซึ่งไม่เพียงเป็นการละเมิดธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของไทย แต่เป็นการละเมิดกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะหลักการคุ้มครองพลเรือน และจำแนกเป้าหมายทางทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยึดถือ จึงขอเรียกร้องให้กับกัมพูชายุติการใช้กำลังต่อพลเรือน เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ และแสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์
นายนิกรเดช เปิดเผยว่า นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพื่อแจ้งข้อกังวลต่อการละเมิดของกัมพูชาที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน และโจมตีพื้นที่พลเรือนก่อนจนทำให้พลเรือน และทหารไทยเสียชีวิตจำนวนมาก อีกทั้งสถานพยาบาลและโรงเรียนกว่า 100 แห่ง ก็ต้องปิดทำการเพื่อความปลอดภัย
จากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งขัดต่อ กฎหมายมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ , และป้องกันตนเองตามมาตรา 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ โดยตอบโต้กัมพูชาเฉพาะเป้าหมายทางการทหารเท่านั้น โดยขอให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR เรียกร้องให้กัมพูชาชี้แจง แสดงความรับผิดชอบ และยุติการยั่วยุ รวมทั้งการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยไทยพร้อมทำงานร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น OHCHR และ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หรือ ICRC โดยขอยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องชีวิต ปกป้องความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของประชาชน พร้อมขอเรียกร้องประชาชนทั่วประเทศกดดันกัมพูชา ให้เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำอันโหดร้าย รวมถึงแสดงความบริสุทธ์ใจไม่ใช่แค่เศษกระดาษหรือคำพูด
นอกจากนี้ การปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่โบราณสถานตามที่กัมพูชากล่าวอ้าง โดยให้เหตุผลรับรองว่าไทยปฏิบัติการทางทหารก่อให้เกิดความเสียหายต่อโบราณสถานตามแนวชายแดน เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า ไทยมีหลักฐานชัดเจนว่า กองทัพกัมพูชาใช้โบราณสถานเป็นฐานปฏิบัติการทางการทหาร จุดสะสมอาวุธ และจุดซุ่มโจมตีฝ่ายไทย ซึ่งล่าสุดเมื่อวานนี้ กัมพูชายังเปิดฉากยิงด้วยปืน ค. และ BM21 ทั้งประสาทตาเมือนทม ปราสาทคนา และปราสาทตาควาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอนุสัญญาเพื่อป้องกันทรัพย์สินทางวัฒนธรรม , และอนุสัญญาด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีความขัดแย้งทางอาวุธ หรือ อนุสัญญากรุงเฮก , อีกทั้งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรม และทางธรรมชาติ ซึ่งกำหนดพันธกรณีไทยและกัมพูชาในฐานะภาคีอนุสัญญา เพื่อปกป้องและไม่ใช้โบราณสถานหรือทรัพย์สินทางวัฒนธรรมใดๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร และ ฝ่ายไทยไม่มีทางเลือกอื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปฏิบัติการทางทหารเพื่อป้องกันตนเองจากคุกคามที่อาจบานปลาย และยับยั้งการใช้โบราณสถานเพื่อประโยชน์ทางทหารของกัมพูชา เพราะหากปล่อยให้ดำเนินต่อไป จะยิ่งส่งผลกระทบและความเสียหายต่อประชาชนตามชายแดนมากยิ่งขึ้น พร้อมย้ำว่า การกระทำดังกล่าวไม่ได้ขัดต่ออนุสัญญากรุงเฮก ที่ยกเว้นกรณีเช่นนี้
ขณะที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของยูเนสโกเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันปกป้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในบริเวณชายแดน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า พบว่ากัมพูชาตั้งใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้นานาชาติโจมตีประเทศไทย ในการนี้ประเทศไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการใช้พื้นที่โบราณณสถานเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร และยุติการบิดเบือนข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ส่วนการระงับการเดินทางผ่านจุดผ่านทางบกของกัมพูชา เรื่องนี้ไทยกังวลอย่างยิ่งต่อการจำกัดการเคลื่อนย้ายของคนไทย เพราะในขณะที่ฝ่ายไทยอำนวยความสะดวกให้คนกัมพูชาเดินทางออกจากประเทศไทยหมดแล้ว แต่กัมพูชากลับปฏิเสธไม่เปิดด่านให้คนไทยเดินทางกลับ ประเทศไทยขอย้ำว่า ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกติกาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พลเรือนมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองในการเดินทางออกจากประเทศ เพราะพลเรือนไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ ซึ่งมาตรการดังกล่าวกัมพูชาอาจจะเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย อยู่ระหว่างการทำหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติอีกฉบับ เพื่อประท้วงกัมพูชา แม้เมื่อวานนี้สมเด็จ ฮุนเซน จะโพสต์ชี้แจงว่ามีเพียงการระงับการเดินทางทางบกเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยในห้วงที่มีการประทะกันอยู่ โดยสามารถข้ามแดนทางอากาศได้ ซึ่งไทยมองว่าการชี้แจงดังกล่าวเป็นเพียงการลดทอนความรุนแรงของการกระทำฝ่ายกัมพูชา เพราะการที่กัมพูชามาชี้แจง สะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดและความไม่ชัดเจนในการสื่อสาร การออกนโยบายโดยไม่พิจารณาอย่างรัดกุม ทำให้ชุมชนชาวต่างชาติในกัมพูชาเข้าใจผิด และตื่นตระหนกในวงกว้าง การกระทำดังกล่าวจึงมองว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพ ขณะที่ฝ่ายไทยมีความเป็นมืออาชีพ และปฏิบัติตามกฎใช้กำลังอย่างเคร่งครัด ไม่เคยมีจุดมุ่งหมายในการโจมตีพลเรือน ดังนั้นจึงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของประชาชน เว้นแต่กัมพูชาตั้งใจโจมตีพลเรือนไทยโดยไม่เลือกเป้าหมาย
ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยพร้อมอำนวยความสะดวกให้คนไทยเดินทางกลับจากกัมพูชาอย่างเต็มที่ โดยสามารถลงทะเบียนกับสถานทูตและสถานกงสุล ณ เมืองเสียมราช เพื่อยืนยันตัวตน โดยกระทรวงการต่างประเทศพร้อมดำเนินการให้ประชาชนได้เดินทางกลับประเทศไทยโดยเร็วที่สุด
นายนิกรเดชยังกล่าวว่า กัมพูชามีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและบิดเบือน ยกตัวอย่างเช่น ที่กระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการ เผยแพร่วีดีโอทหารไทย ฉีดยากันยุง แล้วนำมาบิดเบือนว่าเป็นการใช้แก๊สพิษ ทำให้พลเรือนกัมพูชาเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ และสื่อกัมพูชาซึ่งถูกครอบงำ โดยรัฐ เผยแพร่ข้อมูลว่าโรงพยาบาลสุรินทร์ ไม่สามารถรองรับทหารไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ ต้องลำเลียงผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้รูปจาก AI ซึ่งตีความได้ว่าหน่วยงานของกัมพูชาทำงานแบบไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่สามารถพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง และกัมพูชาจงใจหลอกลวงประชาชน โดยไร้หลักฐานรองรับ แสดงถึงความไม่เคารพและดูถูกวิจารณญาณของประชาชน ในประเทศตนเอง
นายนิกรเดช เปิดเผยด้วยว่า เมื่อวานนี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้มีการหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของเวียดนาม ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งได้มีการหารือถึงสถานการณ์ไทยกัมพูชา โดยเวียดนามมองว่าไทยมีความมุ่งมั่นที่จะกลับสู่สันติภาพ จะต้องบริหารงานให้ผ่านไปได้ และเข้าใจถึงความตึงเครียดที่มีผลต่อประชาชนไทยและกัมพูชา ซึ่งถือเป็นเพื่อนบ้านของเวียดนาม และเวียดนามเคยผ่านสงครามมาหลายยุคสมัย จึงเข้าใจความทุกข์ยากของประชาชน และผลกระทบในเชิงลบต่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค เวียดนามจึงประสงค์ที่จะเห็นทั้งสองประเทศยุติการสู้รบ และมีการพูดคุยกันโดยเร็ว โดยเวียดนามพร้อมสนับสนุนในการแก้ปัญหา รวมถึงประสงค์ที่จะเห็นบทบาทของอาเซียนในการสนับสนุนดังกล่าวด้วย
นอกจากนี้ นายนิกรเดช ยังเปิดเผยด้วยว่า ในวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ จะมีการประชุมว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ณ โรงแรม InterContinental กรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นการหารือเกี่ยวกับอาชญากรรมที่ทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบ โดยเข้าใจว่ามีการเชิญทางกัมพูชาไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นการประชุมในระดับภูมิภาค ขณะที่สหรัฐอเมริกา คาดว่าจะเป็นผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตเข้าร่วมประชุม.-สำนักข่าวไทย







