วันที่ 22 ธันวาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กำชับให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยเฉพาะท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) บูรณาการการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง ทหาร และตำรวจ อย่างใกล้ชิดและเข้มข้น เพื่อยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย ป้องกันการลักลอบใช้อากาศยานไร้คนขับ (Drone) ในพื้นที่โดยรอบสนามบิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน ผู้โดยสาร และการเดินอากาศ พร้อมเน้นย้ำให้ดำเนินการตามมาตรฐานการบินสากลอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบการบินและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศ
นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า ทสภ.ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยยืนยันการดำเนินมาตรการรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานการบินสากลอย่างเข้มงวด มีการตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว และบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง ทหาร และตำรวจ ในการเฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและผู้ใช้บริการ
ทั้งนี้ทสภ.ได้รับรายงานการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (Drone) บริเวณใกล้เขต ทสภ. ตั้งแต่คืนวันที่ 20 ธันวาคม 2568 ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของแผนเผชิญเหตุและแผนรักษาความปลอดภัยสนามบินอย่างเคร่งครัด และประสานหน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าพื้นที่ตรวจสอบทันที ต่อมาในคืนวันที่ 21 ธ.ค.68 มีรายงานพบการบินของอากาศยานไร้คนขับในพื้นที่โดยรอบซึ่งอยู่ห่างจากจุดเดิมออกไป จากการประเมินสถานการณ์ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการขึ้น – ลงของอากาศยาน ตารางเที่ยวบิน และการให้บริการผู้โดยสารแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ทสภ. ได้บูรณาการความร่วมมือกับกองทัพบก กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการติดตั้งและใช้งานอุปกรณ์ตรวจจับและต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Anti-Drone) ควบคู่กับการเพิ่มกำลังสายตรวจรถยนต์ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับสถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเพิ่มความถี่และวงรอบการตรวจตราพื้นที่โดยรอบแนวรั้วสนามบิน รวมถึงการเฝ้าสังเกตการณ์ผ่านระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ทสภ. ยังได้ซักซ้อมและทบทวนแผนปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมยืนยันว่าการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นไปตามมาตรฐานการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO)
นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า การบินอากาศยานไร้คนขับใกล้เขตสนามบินเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในรัศมี 9 กิโลเมตร ผู้ฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย โดยหากเข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ.2558 ผู้ฝ่าฝืนมีโทษหนักถึงขั้นประหารชีวิต พร้อมขอความร่วมมือประชาชน หากพบเห็นสิ่งผิดปกติสามารถแจ้ง ศูนย์สุวรรณภูมิ โทร. 0 2132 4000 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทสภ. ยืนยันให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัย และมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการดูแลผู้โดยสารและการเดินอากาศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน ผู้ใช้บริการ และสนับสนุนภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างยั่งยืน
ด้านพลตำรวจโทวัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้บูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอากาศยานไร้คนขับรุกล้ำพื้นที่สนามบินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการเชิงรุก เพิ่มจุดตรวจและตั้งด่านโดยรอบพื้นที่สนามบิน ควบคุมเส้นทางเข้า – ออกทุกจุด พร้อมตรวจสอบบุคคลและยานพาหนะตามมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบผู้ครอบครองอากาศยานไร้คนขับที่มีการจดทะเบียน รวมถึงประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชน สถานประกอบการ ร้านค้า และที่พักในพื้นที่โดยรอบ ให้ช่วยสอดส่องดูแล และแจ้งเบาะแส หากพบพฤติกรรมต้องสงสัยหรือการใช้อุปกรณ์ที่อาจเกี่ยวข้องกับการบินอากาศยานไร้คนขับโดยไม่ถูกต้อง เพื่อร่วมกันสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงด้านการบิน







