วันที่ 22 ธ.ค.68 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ระบุว่า...
เท “ส้ม“
ผลโพลล์คนยังไม่ตัดสินใจเลือกใครยังมีอีกมาก
ไอโอของแต่ละพรรคต้องทำงานหนักมากขึ้น
พรรคน้ำเงิน คือผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเลือกตั้งครั้งนี้
ด้วยอภินันทนาการจากพรรคส้ม ที่ “อ่อนชั้นเชิงการเมือง“ ส่งบอลเข้าเท้าพรรคน้ำเงินเต็มข้อ
ยิ่งมีสงคราม ไทย-กัมพูชา ยิ่งเพิ่มความร้อนแรงของพรรคน้ำเงิน
จากพรรคขนาดกลางทะลุกราฟเป็นพรรคใหญ่ ด้วยระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 2 เดือน
ไต่ชั้นขึ้นเป็นพรรคอันดับหนึ่ง
จากที่พรรคส้มคิดว่าเป็นผู้คุมเกมตอนทำ MOA กลายเป็นทำให้พรรคน้ำเงินเป็นผู้คุมเกมแทน
มากไปกว่านั้น เกมการเมืองที่ไม่มีการต่อเวลาให้ “คนอ่อนหัดการเมือง” อย่างพรรคส้มได้ตั้งตัว
พรรคน้ำเงินเปิดเกมรุกด้วยการรวม “บ้านใหญ่“ และเปิดกว้างการเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
ในขณะที่พรรคส้มโดนเทให้โดดเดี่ยว
หลังจากช้ำใจด้วยการถูก ”หลอกลวงทางการเมืองครั้งใหญ่“ โดยพรรคน้ำเงิน
จึงปิดกั้นตัวเอง ประกาศขีดเส้นใต้ไว้ชัดเจนล่วงหน้าว่า “มีน้ำเงิน ไม่มีส้ม”
ตั้งธงว่ามีสองทางให้ประชาชนเลือกเท่านั้น คือ จะเลือกส้ม หรือเลือกน้ำเงิน?
ความโดดเดี่ยวทางการเมืองไม่ใช่หนทางจะทำงานให้บ้านเมืองได้
เพราะการเมืองคือการทำงานร่วมกันของพรรคการเมืองต่างๆ ตามสไตล์ไทย
มันไม่ใช่ ”การเมือง 2 ขั้ว“ อย่างประเทศอเมริกา หรืออังกฤษ
ตอนนี้ความโดดเดี่ยวทำให้ “พรรคส้มถูกเท” ทั้งจากพรรคการเมืองด้วยกัน และประชาชน
มีเหตุผลสนับสนุนด้วยผลโพลล์ทุกสำนักว่า “คนยังไม่ตัดสินใจเลือกใครมากกว่า 40%“
พรรคส้มยังดื้อดึง และหลงตัวเองจากคะแนนที่ล้นหลามในการเลือกตั้งที่ผ่านมา
ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืนเสมอไปในการเมืองไทย
โดยเฉพาะการเมืองแบบพรรคส้มที่ถูกหลอกซ้ำซาก
คนไทยได้สื่อให้พรรคส้มรู้ตัวแล้วว่า
คนระแวงพรรคส้มที่ยังไม่ประสีประสา แต่ได้ ส.ส. จากกระแสล้วนๆ ซ้ำยังไม่รู้จักเรียนรู้ประสบการณ์ทางการเมือง
เลือกไปเดี๋ยวก็ถูกหลอกอีก จึงตัดสินใจไม่เลือกดีกว่า
คำตอบสั้นๆ แต่บาดใจ เพราะความไม่มีชั้นเชิงทางการเมืองของพรรคส้มเอง
ผมในฐานะ “ผู้สนับสนุนพรรคส้ม“ มาก่อนรู้สึกได้
และความรู้สึกนี้จะส่งผลถึงผู้สนับสนุนคนอื่นๆ ที่เคยลงคะแนนให้พรรคส้มจากครั้งที่แล้ว
ทำให้ไม่แปลกใจว่า คะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า
พรรคส้มจะถูกเทกระจาด








