วันที่ 28 ตุลาคม 2568 คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย(ครป.) ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ประเด็นการขาดคุณสมบัติ ของนพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ปรากฏว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ได้ดำเนินการกรณี ดังกล่าว โดยส่งเรื่องไปที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ ประธาน กสทช. “ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที” จนกว่าจะทรงมีพระราชวินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุด หรือปรากฏหลักฐานชัดเจน เป็นที่ประจักษ์ ว่าไม่ได้ขาดคุณสมบัติ จริง มิใช่แค่กล่าวอ้างกระบวนการอย่างที่ผ่านมา
กรณีประธาน กสทช. ประเด็นการขาดคุณสมบัติ ตาม “มาตรา 20(5) กรรมการพ้นตำแหน่ง เมื่อ กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 8” ฉะนั้นข้อเท็จจริงคือ แค่ปรากฏว่ามี “การกระทำ” ที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 8 ดังกล่าว ก็มีผลให้พ้นสภาพการเป็นกรรมการ กสทช. ทันทีอยู่แล้ว ซึ่งมาตรา 20 วรรคสอง ได้ระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้ว “ถ้าเป็นการพ้นตำแหน่งตาม (5) ให้มีผลตั้งแต่วันที่ขาดคุณสมบัติ หรือ วันที่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน”
ประธานกสทช. ฝ่าฝืนตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2565 แล้วด้วยซ้ำ (จึงขัดมาตรา 18 ด้วย) และก็ยังมีการประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นที่ประจักษ์(ปัจจุบันก็ยังทำอยู่) ซึ่งขัดมาตรา 8(3) มาโดยตลอด และปรากฏในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่น ปปช. ปี 2568-2568 ซึ่งจะสอดคล้องกับผลการวินิจฉัยของคณะกรรมาธิการไอซีทีของสว. ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์วุฒิสภา การปรากฏข้อเท็จจริงของการกระทำดังกล่าวจึงเป็นที่ประจักษ์
ซึ่งปรากฏจากหนังสือ ครป. 28 ต.ค. 2568 “ทั้งนี้ นพ.สรณ เข้าข่ายขัดพระบรมราชโองการฯ เพราะถือเป็นการนําความกราบบังคมทูลประกอบ “เอกสารอันเป็นเท็จ” และที่สำคัญกลับเป็นที่ปรากฏว่าเพิ่งได้ลาออกจากโรงพยาบาลรามาธิบดีในวันเดียวกับที่ทรงมีพระบรมราชโปรดเกล้าฯ จึงส่อเจตนาชัดเจนในการกระทำขัดข้อกฎหมาย มาตรา 8 และมาตรา 182 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ก็ส่อเค้ามีมูลความจริง เพราะเป็นบุคคลขาดคุณสมบัติที่มิบังควรได้รับการโปรดเกล้าฯแต่กลับไปรับตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องติดตามรอดูว่าสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะมีการวินิจฉัยในประเด็นนี้อย่างไร เพราะหากมีข้อเท็จจริงดังกล่าว ก็จะผิด ม. 112 ด้วย
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นการขาดคุณสมบัติ หรือขัดพระบรมราชโองการ เมื่อเข้าสู่กระบวนการตาม มาตรา 20 พรบ.คลื่นความถี่ฯ จึงต้อง“หยุดปฏิบัติหน้าที่” ทันทีตามกฎหมาย และเหตุที่ไม่ สามารถ ปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะไม่มีอำนาจตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามที่พรบ.คลื่นความถี่ฯมาตรา 20 ได้ระบุไว้ตามที่กล่าวไปข้างต้น
ประธาน กสทช. จึงควรคำนึงถึง ประเด็นดังกล่าว เพื่อ ไม่กระทำการอันมิบังควรก้าวล่วงพระราชอำนาจ รวมไปถึงนายกรัฐมนตรี และสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อทราบเรื่องหรือเล็งเห็น ประเด็นดังกล่าวตามที่ ครป. ได้แจ้งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงควรให้ประธาน กสทช. หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามข้อเท็จจริงที่ได้กล่าวไปดังกล่าว จนกว่าจะมี ข้อเท็จจริง และหรือทรงมีพระราชวินิจฉัยเป็นที่สิ้นสุด
ที่สำคัญมาตรา 20 วรรคสาม ก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า“เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้” ฉะนั้นการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของประธาน กสทช. จึงไม่กระทบกับกรรมการที่เหลืออยู่ ถึง 6 ท่าน สามารถดำเนินการบริหารงาน กสทช. ต่อไปได้ และที่สำคัญ หากยังปล่อยไว้ ให้ประธาน กสทช. ที่ขาดคุณสมบัติ และเข้าข่ายขัดพระบรมราชโองการ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นรักษาการตามมาตรา 5 อาจมีความผิด และต้องร่วมรับผิดชอบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้








