ตลอดช่วงปี 2568 ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจมาตั้งแต่ต้นปี จนถึงปลายปี ทั้งเกิดขึ้นจากปัญหาภายในประเทศ และปัญหาจากภายนอกประเทศ เปรียบเสมือนเดินหน้าท่ามกลาง “พายุสองลูก” ลูกแรกคือ "ทรัมป์เอฟเฟกต์" และลูกที่สองคือโครงสร้างภายในที่ยังเปราะบางจากปัญหาหนี้สิน ซึ่งภาพรวมในปีนี้หลายหน่วยงานทางเศรษฐกิจคาดการณ์เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 1.8 – 2.1% เป็นการเติบโตในระดับที่ยังไม่เต็มศักยภาพ
หากวิเคราะห์ถึงทิศทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2568 โดยเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยมากที่สุด คือ การกลับมาของนโยบาย "America First" และการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือ "ทรัมป์เอฟเฟกต์" คือ ปัจจัยภายนอกที่ทรงอิทธิพลที่สุด เนื่องจาก 1. มาตรการกำแพงภาษี (The Tariff Wall) โดยทรัมป์มีนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าที่เข้มข้นขึ้นเพื่อลดดุลการค้าที่สหรัฐฯ เสียเปรียบ โดยมี 2 กลไกหลัก คือ Reciprocal Tariff (ภาษีตอบโต้) สหรัฐฯ อาจพิจารณาเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตราที่สูงขึ้น มีรายงานระบุถึงตัวเลขตั้งแต่ 19% ถึง 36% สำหรับสินค้ากลุ่มที่สหรัฐฯ เสียเปรียบดุลการค้า และUniversal Baseline Tariff: การเก็บภาษีนำเข้า 10-20% กับสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยโดยตรง ,2. สินค้าส่งออกกลุ่ม "เสี่ยงสูง" โดยสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลักและอาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ตลาดสหรัฐฯ คิดเป็นส่วนแบ่งกว่า 42% ของการส่งออกกลุ่มนี้ , ผลิตภัณฑ์ยางและยางล้อ: มีสัดส่วนส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 31% และเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ เป็นกลุ่มที่สหรัฐฯ เพ่งเล็งเนื่องจากมีการเติบโตของยอดส่งออกอย่างรวดเร็วในระยะหลัง
3. ผลกระทบทางอ้อม (Indirect Impacts) ได้แก่ Trade Diversion (สินค้าจีนทะลัก) เมื่อสินค้าจีนถูกกีดกันจากสหรัฐฯ ด้วยภาษี 60% สินค้าเหล่านั้นจะถูกระบายมายังตลาดอาเซียนและไทยมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเจอศึกหนักในบ้านตัวเอง และSupply Chain Disruption ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของจีน หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวจากการถูกสหรัฐฯ กีดกัน ความต้องการสินค้าขั้นกลาง (Intermediate Goods) จากไทยก็จะลดลงตามไปด้วย ,4. สถานะ "Currency Manipulator" (ผู้บิดเบือนค่าเงิน) โดยไทยยังคงถูกจับตามองในบัญชี Watchlist เนื่องจากมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่การกดดันให้นโยบายการเงินของไทยต้องปรับตัว หรือการถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้าอื่นๆ เพิ่มเติม
ดังนั้นข้อแนะนำสำหรับธุรกิจ คือ ควรมุ่งเน้นการกระจายตลาด (Market Diversification) ไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนหรือตะวันออกกลางมากขึ้น และเร่งเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า
เรื่องที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยปี 2568 ต่อมา คือ "ทิศทางการลงทุนของไทยที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์คู่" (Public & Private Drive) เป็นการผสานแรงส่งจากงบประมาณภาครัฐที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบ และการขยายฐานการผลิตของเอกชนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่ 1. Public Drive : การกลับมาของ "เมกะโปรเจกต์" โดยหลังจากที่มีการชะลอตัวในปีที่ผ่านๆ มา ปี 2568 คือ ปีที่ภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนเพื่อปั๊มหัวใจเศรษฐกิจ โดยมีโครงการไฮไลท์ ดังนี้ งบลงทุนคมนาคม 2.6 แสนล้านบาท ครอบคลุมกว่า 57 โครงการ โดยเน้นหนักที่การพัฒนาระบบราง เช่น รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และ รถไฟทางคู่ระยะที่ 2 เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศ ,โครงข่ายถนนมอเตอร์เวย์: การเปิดประมูลและเร่งก่อสร้างมอเตอร์เวย์ 4 สายสำคัญ เช่น M9 (วงแหวนตะวันตก) และส่วนต่อขยายดอนเมืองโทลล์เวย์ (M5) และการพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Port): เร่งโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และการผลักดัน "แลนด์บริดจ์" (Landbridge) สู่ขั้นตอนการหาผู้ร่วมทุนระดับนานาชาติอย่างจริงจัง
2. Private Drive : ยุคทองของ FDI เทคโนโลยีขั้นสูง โดยตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่พุ่งสูงกว่า 8.46 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา กำลังจะเปลี่ยนเป็น "เม็ดเงินลงทุนจริง" ในหน้างานก่อสร้างโรงงานและจ้างงานในปี 2568 เช่น ฮับดิจิทัล และ Data Center: ยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีโลก (เช่น Google, Microsoft, Amazon) เริ่มขยายฐานศูนย์ข้อมูลในไทย ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบระบายความร้อน และการจัดการพลังงานโตตาม ,ฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV Hub): โรงงานผลิตรถยนต์ EV และแบตเตอรี่จากค่ายรถยนต์ชั้นนำ (โดยเฉพาะจากจีนและสิงคโปร์) จะเริ่มเดินเครื่องผลิตเต็มรูปแบบเพื่อจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ: การย้ายฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และแผงวงจรไฟฟ้า (PCB) จากผลกระทบของสงครามการค้าโลก ทำให้ไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ปลอดภัยสำหรับห่วงโซ่อุปทานโลก
3. กลไกสนับสนุน: ระบบ "FastPass" และ Global Minimum Tax เพื่อให้การลงทุนไหลลื่น รัฐบาลได้นำเครื่องมือใหม่มาใช้ เช่น FastPass System: การลดขั้นตอนอนุมัติอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐ (เช่น BOI, กรมโรงงานฯ, กทม.) ให้เร็วขึ้น 20-50% เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้ตัดสินใจได้ไวขึ้น ,Global Minimum Tax (15%): แม้จะเป็นความท้าทาย แต่ไทยได้ปรับตัวโดยนำรายได้จากภาษีนี้มาจัดตั้ง "กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน" เพื่ออุดหนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายแทนการลดภาษีแบบเดิม
เรื่องที่ส่งผลต่อเศรษฐหกิจไทย อีกเรื่อง คือ "หนี้ครัวเรือน" โดยในปี 2568 ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุดของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน และกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการใช้จ่ายและการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 87-90% ของ GDP แม้ว่าจะมีสัญญาณชะลอตัวลงบ้างจากการที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น โดยยอดหนี้เฉลี่ย ข้อมูลจากหอการค้าไทยระบุว่า หนี้เฉลี่ยพุ่งสูงถึงประมาณ 7.4 แสนบาทต่อครัวเรือน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี และการพึ่งพานอกระบบ หรือ "หนี้นอกระบบ" ที่มีสัดส่วนสูงถึง 35% ของหนี้ทั้งหมด เนื่องจากกลุ่มคนรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้
ทั้งนี้ภาครัฐโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้บังคับใช้เกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่เข้มข้นขึ้นเพื่อแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืน ได้แก่ ความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งแบงก์ต้องพิจารณาจาก "เงินเหลือสุทธิหลังหักภาระหนี้" (Debt Service Ratio - DSR) เพื่อให้มั่นใจว่าลูกหนี้จะมีเงินเหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพ และแก้หนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่จ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นมาเป็นเวลานาน จะได้รับสิทธิในการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อปิดจบหนี้ได้ภายใน 5-7 ปี โดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง
อีกทั้งยังมียังมีนโยบายดอกเบี้ยขาลง โดยในช่วงปลายปี 2568 เริ่มเห็นทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายให้ประชาชน และโครงการ "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" มาตรการช่วยลูกหนี้เสีย (NPL) ให้กลับมาเป็นลูกหนี้ดีได้ง่ายขึ้น ผ่านความร่วมมือของแบงก์รัฐและบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)
และส่งท้ายเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่น่าสนใจ คือ "ภาคการท่องเที่ยวในปี 2568" ที่เห็นได้ว่า เป็น "เครื่องยนต์หลักเพียงหนึ่งเดียว" ที่ยังคงทำงานได้อย่างเต็มกำลัง ท่ามกลางภาวะชะลอตัวของภาคการส่งออก และกำลังซื้อในประเทศที่ลดลง โดยรัฐบาลยกระดับการท่องเที่ยวให้เป็นวาระแห่งชาติ ประกาศให้ปี 2568 เป็นปี "Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year" เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ตั้งเป้าดึงดูดชาวต่างชาติสูงถึง 39 - 41 ล้านคน ซึ่งเป็นการกลับมาเทียบเท่าหรือสูงกว่าสถิติก่อนช่วงโควิด-19 และมุ่งเป้ารายได้ 3.0 - 3.4 ล้านล้านบาท โดยหวังให้เม็ดเงินนี้กระจายตัวสู่ท้องถิ่นผ่านนโยบาย "เมืองน่าเที่ยว" (Hidden Gems)
สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนการเติบโตนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ใช้แนวคิด 5 ด้านเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้นักท่องเที่ยว ได้ แก่ 1.Grand Festivity: จัดอีเวนต์และเทศกาลระดับโลกตลอดทั้งปี (World-class Events) ,2.Grand Moment: สร้างจุดขายประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต (Once in a Lifetime) ,3.Grand Privilege: มอบสิทธิพิเศษผ่านพันธมิตรห้างสรรพสินค้าและบริการต่างๆ ,4.Grand Invitation: เชิญอินฟลูเอนเซอร์และบุคคลชื่อดังระดับโลกมาช่วยประชาสัมพันธ์ และ 5.Grand Tourism & Sports: ผสมผสานการท่องเที่ยวเข้ากับกิจกรรมกีฬา เช่น การแข่งขันวิ่งมาราธอนระดับสากล หรือการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต
ส่วนตลาดหลักและแนวโน้มใหม่นักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป ได้แก่ นักท่องเที่ยวจีน ยังคงเป็นอันดับ 1 คาดการณ์กว่า 8 ล้านคน ตามมาด้วย มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย และกลุ่ม High-Spenders ซึ่งรัฐบาลเน้นดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่ม Wellness & Medical Tourism และกลุ่ม Digital Nomads ที่พำนักระยะยาว ซึ่งใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 3-4 เท่า อีกทั้งยังมีการขยายวีซ่าฟรี (Visa-Free) ให้กับหลายประเทศ และการเพิ่มเที่ยวบินตรงจากเมืองรองในจีนและอินเดีย เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ยอดตัวเลขพุ่งสูงขึ้น
ดังนั้นจึงมองได้ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 คือ ปีแห่ง "การประคองตัวท่ามกลางความผันผวน" ไม่ใช่ปีของการเร่งตัว แบบก้าวกระโดด แม้จะมีแรงหนุนจากการท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้า และปัญหาหนี้สินที่กดดันกำลังซื้อของประชาชน








