เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ปัจจัยในการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. จะขึ้นอยู่กับพัฒนาการเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า หากสถานการณ์เศรษฐกิจแย่กว่าที่ประเมินไว้ เกิดภาวะเงินฝืดอย่างชัดเจน และภาวะการเงินตึงตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25% ต่อปี ถือว่าอยู่ในระดับต่ำแล้ว โดยอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงมาอยู่ที่ -0.33% การใช้ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (Policy Space) จึงต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง
กนง.ประเมินว่า แม้แนวโน้มในระยะข้างหน้านโยบายการเงินยังจำเป็นต้องอยู่ในทิศทางผ่อนคลาย เพื่อรองรับความเสี่ยงเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น แต่ยังต้องรักษา Policy Space เอาไว้ เพื่อรองรับแรงกระแทก (Shock) ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ที่ประชุม กนง. มองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2569-2570 จะขยายตัวชะลอลงจากระดับ 3% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สอดคล้องกับการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ (Reciprocal Tariffs) ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อไปถึงปีหน้า โดยประมาณการ GDP ปี 2568 อยู่ที่ 2.2% ปี 2569 อยู่ที่ 1.5% และปี 2570 อยู่ที่ 2.3% ซึ่งต่ำกว่าระดับศักยภาพเศรษฐกิจที่ประเมินไว้ราว 2.7-2.8%
นายสักกะภพกล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ได้รับผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวหลายด้าน ทั้งการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่น โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาฟื้นฟูต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 1 ปี 2569 ขณะที่ในช่วงปี 2569-2570 การบริโภคภายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวตามรายได้ที่เติบโตลดลง
ด้านการส่งออก หลังจากเร่งตัวสูงถึง 12% ในปีนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งส่งออกล่วงหน้า (Front Load) และความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกที่ยังพอขยายตัวได้ดี แต่ในปี 2569 คาดว่าการส่งออกจะชะลอลงเหลือเติบโตเพียง 0.6% และในปี 2570 เติบโต 1.7% ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมอ่อนแรงลงอย่างมีนัยสำคัญ
นายสักกะภพระบุว่า ปัจจัยที่จะเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจ คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งแม้ในปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวจะชะลอตัว แต่ในช่วงปี 2569-2570 คาดว่าจะทยอยฟื้นตัว โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2569 อยู่ที่ 35 ล้านคน และปี 2570 อยู่ที่ 36 ล้านคน จากปี 2568 ที่อยู่ราว 33 ล้านคน ทำให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวจะมาจากภาคบริการเป็นหลัก ขณะที่ภาคการผลิตยังเติบโตค่อนข้างต่ำ จากผลกระทบของมาตรการภาษีและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ
ในด้านปัจจัยการเมือง ธปท.ได้ใส่สมมติฐานไว้ว่า งบประมาณอาจเกิดความล่าช้า โดยคาดว่างบประมาณรายจ่ายประจำปี 2570 อาจล่าช้าประมาณ 2-3 เดือน หรือเกือบ 1 ไตรมาส ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ GDP ในระยะข้างหน้า
นายสักกะภพกล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับประมาณการเศรษฐกิจในระยะต่อไป จะอยู่ภายใต้สมมติฐานที่มีความเสี่ยงเข้ามาชัดเจนมากขึ้น โดยความเสี่ยงมีทั้งด้านลบและด้านบวกต่อเศรษฐกิจ แต่โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้ม “เบ้ไปด้านต่ำ” มีโอกาสปรับลดมากกว่าปรับเพิ่ม และยังคงขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพที่ประเมินไว้
ในประเด็นภาวะเงินฝืด นายสักกะภพระบุว่า กนง.ประเมินว่าความเสี่ยงเงินฝืดยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนจากราคาสินค้าและบริการที่ไม่ได้ปรับลดลงเป็นวงกว้าง อย่างไรก็ตาม เห็นควรติดตามความเสี่ยงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวใกล้เคียงประมาณการเดิม ปี 2568 และปี 2569 อยู่ที่ 0.8% และปี 2570 อยู่ที่ 1.0% ขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางปรับลดลงเล็กน้อย แต่ยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
เขาย้ำว่า เงินเฟ้อที่ปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากราคาพลังงานที่ลดลง ยังไม่ใช่การลดลงเป็นวงกว้างจนก่อให้เกิดภาวะเงินฝืด แต่หากประชาชนคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะลดลงต่อเนื่อง อาจทำให้ชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน ซึ่งเป็นประเด็นที่ กนง.ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เป้าหมายเงินเฟ้อยังคงเป็นเป้าหมายระยะปานกลางที่มีความยืดหยุ่น และขณะนี้ ธปท.ได้หารือร่วมกับกระทรวงการคลังแล้ว โดยยังไม่มีแผนปรับเปลี่ยนเป้าหมายดังกล่าว
สำหรับค่าเงินบาท นายสักกะภพกล่าวว่า เป็นอีกประเด็นที่คณะกรรมการให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วและแรง โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นราว 8% ขณะที่ค่าเงินบาทเทียบกับคู่ค้าคู่แข่ง (NEER) ก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน ซึ่ง กนง.มองว่าเป็นการแข็งค่าเกินปัจจัยพื้นฐาน จึงได้ยกระดับการติดตามค่าเงินและธุรกรรมที่กดดันเงินบาท
ธปท.ได้หารือกับสถาบันการเงินให้เข้มงวดในการตรวจสอบเอกสารการทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (FX) ก่อนดำเนินการให้ลูกค้า รวมถึงการขอข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะธุรกรรมจากร้านทองขนาดใหญ่ และการตรวจสอบเงินทุนที่ไหลเข้าในลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อควบคุมแรงกดดันต่อค่าเงินบาท
นายสักกะภพกล่าวว่า การดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทผันผวนรุนแรงเป็นสิ่งที่ ธปท.ให้ความสำคัญ โดยการแข็งค่าของเงินบาทส่วนหนึ่งมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย รวมถึงราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยซ้ำเติม ทั้งนี้ ธปท.ได้ติดตามแหล่งที่มาของเงินทุนอย่างใกล้ชิด โดยพบว่ากระแสเงิน Real Flow ยังไม่ผิดปกติ แต่ Financial Flow โดยเฉพาะการซื้อขายทองคำมีปริมาณสูงผิดปกติในบางช่วง จึงต้องติดตามและพิจารณามาตรการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
#เศรษฐกิจไทย #กนง #ดอกเบี้ยนโยบาย #ภาษีสหรัฐ #ส่งออกไทย #เงินฝืด #ค่าเงินบาท #ธปท #GDPไทย







