ประธานสภาพัฒน์ ระบุ สังคมสูงวัย แรงงานลด-ผู้สูงอายุเพิ่ม ต้องออกแบบระบบหลักประกันสุขภาพแบบผสมผสาน รวม “บัตรทอง-ประกันสังคม-ข้าราชการ-เอกชน” เป็นระบบเดียว เอาเงินเดือนเข้ากองทุน รัฐ-นายจ้าง สมทบเพิ่ม เพื่อให้ประเทศมีเงินซื้อประกันให้ประชาชน และจ่ายคืนให้อายุ 65-70 ปี ขณะที่รัฐต้องตั้งกองทุนพิเศษ ดูแลผู้ยากไร้-ค่ารักษาสูงผิดปกติ พร้อมแนะให้ตรึงคนอายุ 60-64 ปี ให้อยู่ในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ปาฐกถาพิเศษ ภายในการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ. 2568 “SAFE financing : การเงินการคลังเพื่อระบบสุขภาพไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง” เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 2568 ตอนหนึ่งว่า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ โดยล่าสุดนิตยสาร The Economist ได้เขียนเรื่อง Why is Thai healthcare so good ? โดยระบุว่าแนวทางและวิธีการของประเทศไทยน่าจะเป็นแบบอย่างให้ประเทศอื่นในภูมิภาคด้วย
สำหรับสาเหตุที่ The Economist ชื่นชมประเทศไทย เพราะเขาอ้างอิงตัวเลขว่าประเทศไทยสามารถทำให้คน 99.5% เข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ ทั้งที่มีรายได้ประชากรต่อหัวเพียง 7,000 เหรียญ ซึ่งคิดเป็นเพียง 1 ใน 11 ของรายได้คนอเมริกัน ทว่าคนอเมริกันกลับเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้ไม่ดีเท่าคนไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังใช้งบประมาณในการทำระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ารวมกันแล้วคิดเป็นเพียง 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แม้ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดรุนแรง ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วใช้งบประมาณถึง 11-17% ของจีดีพี
“ความสำเร็จตรงนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะภูมิใจในระดับหนึ่ง แต่ปัจจุบันเราเริ่มมีปัญหาที่ทำให้ระบบของเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง หนึ่งในนั้นคือปัญหาสังคมสูงวัยและคนในวัยทำงานมีน้อยลง การใช้เงินภาษีของประชาชนมาช่วยดูแลสุขภาพเป็นหลักจะทำได้อยากขึ้น” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า ในอดีต สาเหตุที่เราต้องใช้ภาษีเป็นหลักในการดูแลสุขภาพประชาชน เพราะเราทราบว่าประชาชนมีความสามารถในการใช้จ่ายเพื่อดูแลสุขภาพได้ต่ำ โดยก่อนที่จะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประชากรที่ต้องใช้เงินเป็นสัดส่วนสูงถึง 10% ของการบริโภคทั้งหมดเพื่อดูแลสุขภาพ เดิมมีถึง 6% แต่หลังจากระบบหลักประกันสุขภาพฯ ใช้มาได้ราว 10 ปี พบว่าตัวเลขเหลือเพียง 2% ขณะที่ประชากรที่ต้องใช้เงินสูงถึง 25% เดิมมีถึง 1.8% เหลือเพียง 0.4% และประชากรที่เข้าสู่ภาวะยากจนจากการดูแลสุขภาพ เดิมมี 2.2% ลดเหลือเพียง 0.3%
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเมื่อเรามีปัญหาสัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น โดยตัวเลขสภาพัฒน์แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นสูงมาก จาก 14 ล้านคน จะเพิ่มเป็น 20 ล้านคน ในอีก 15 ปีข้างหน้า ขณะที่คนวัยทำงานลดลงจะลดลงถึง 5 ล้านคน ในช่วงเวลาเดียวกัน คือปี ค.ศ.2025-2040 ตัวเลขนี้สะท้อนว่าประเทศไทยจะมีฐานเก็บภาษีได้น้อยลง แต่ต้องนำไปดูแลสุขภาพผู้สูงอายุที่ต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แนวทางการแก้ปัญหาคือ เราจะต้องทำให้ผู้สูงอายุทำงานต่อไปได้ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 60-64 ปี ที่มีจำนวนอยู่ราว 4.8 ล้านคนนั้น ปัจจุบันคนกลุ่มนี้อยู่ในตลาดแรงงานประมาณ 60% เราต้องทำให้สัดส่วนการอยู่ในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น และต้องทำให้มีรายได้สูงขึ้นด้วย เพราะทุกวันนี้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้อยู่ในภาคการเกษตรซึ่งมีรายได้ต่ำ โจทย์คือต้องทำให้เขาไปอยู่ในภาคบริการและอุตสาหกรรมที่จะมีรายได้สูงขึ้น
“นอกจากการทำให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้มีงานทำและมีรายได้สูงแล้ว เราต้องทำให้คนกลุ่มนี้มีสุขภาพดีเพื่อให้สามารถทำงานได้ด้วย โดยจากตัวเลขพบว่าอายุเฉลี่ยของคนไทยที่ยังมีสุขภาพดีอยู่ อยู่ที่ 66-67 ปี ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี และเรายังสามารถให้ดีกว่านี้ได้อีก” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของธนาคารโลก (World bank) พบว่าการทำให้คนสุขภาพดีด้วยการดูแลไม่ให้เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เริ่มแผ่วลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา โดยโรคที่พบมากคือหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ มะเร็ง และไต ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องควบคุมความดันโลหิตสูงและเบาหวาน ซึ่งหากทำได้ดีจะทำให้สัดส่วนผู้สูงอายุสุขภาพดีเพิ่มมากขึ้น และทำงานได้ และมีรายได้มากขึ้น
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวต่อไปถึงโครงสร้างระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าว่า สาระสำคัญของประเด็นนี้คือรัฐบาลเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดจากภาษี และไม่ได้มีเงินสมทบจากประชาชนเข้ามา ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่าจะต้องปรับเปลี่ยนระบบ จากเดิมที่มีแนวคิดอยากให้มีการประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยที่ประชาชนไม่ต้องจ่ายเงิน มาเป็นระบบที่ผสมผสานกัน
สำหรับการผสมผสานกันนั้นมีด้วยกัน 2 มิติ โดยมิติแรก ปัจจุบันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ามี 4 ระบบ ได้แก่ 1. ประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) 2. ระบบสวัสดิการข้าราชการ 3. ระบบประกันสังคม 4. ประกันเอกชน โดยทั้งหมดนี้ควรจะต้องมารวมกันเป็นระบบเดียว บนหลักการที่ประชาชนคนไทยต้องมีความเท่าเทียมกันในการเข้าถึง
“ในความเห็นของผม จะต้องมีการบังคับให้ประชาชนต้องนำเงินเดือนเข้ามาอยู่ในกองทุนเพื่อประกันสุขภาพ และกองทุนนี้ทั้งรัฐบาลและนายจ้างต้องสมทบเข้ามา คล้ายกับประกันสังคม ซึ่งจะทำให้เรามีเงินก้อน โดยเงินก้อนนี้ก็จะให้ประชาชนไปซื้อประกันสุขภาพให้ตัวเองได้ และเมื่ออายุถึง 65-70 ปี ก็จะต้องมีเงินที่จ่ายคืนให้กับประชาชนไปใช้สำหรับประกันสุขภาพตัวเองต่อไปด้วย นอกจากนี้จะต้องมีอีกกองทุนหนึ่งที่รัฐบาลต้องตั้งขึ้นเอง เพื่อใช้ดูแลกรณีพิเศษที่มีค่าใช้จ่ายสูงผิดปกติ หรือกรณีการดูแลประชาชนยากไร้จริงๆ” ดร.ศุภวุฒิ กล่าว
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า ที่สุดแล้ว สิ่งที่จะทำได้ดีที่สุดคือการให้มีการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรค ไม่ใช่รักษาทุกโรค ดังนั้นการตรวจร่างกายประจำ การมีพฤติกรรมที่ดี ควรต้องใช้ทรัพยกรภาครัฐเข้ามาขับเคลื่อนเรื่องนี้ รวมถึงต้องใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนการติดตามสุขภาพของประชาชน เพราะ 80% ของการเกิดโรคเป็นผลมาจากพฤติกรรม อีกเพียง 20% เท่านั้นที่มาจากยีน หรือเหตุการณ์พิเศษที่ทำให้ป่วย








