วันที่ 6 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุมต้นปาล์ม ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต 12 สงขลา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เข้าร่วมการประชุมวิชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช่วย)โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ร่วมกับ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลการจัดทำแผนป้องกันและบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมด้วย.ดร.รัชพงศ์ ชูแก้ว เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายทรงยศินทร์ ชนปทาธิป ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายปิยะพงษ์ จิวัฒนกุลไพศาล อธิบดีกรมทางหลวง นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย นายพิสุทธิ์ สุทธิพูน ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 12 พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
นายพิพัฒน์ เปิดเผยว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอำเภอหาดใหญ่ครั้งล่าสุด ถือเป็น “สัญญาณเตือนสำคัญ” ว่าระบบระบายน้ำเดิมของเมืองไม่เพียงพอรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป โดยน้ำได้หลากเข้าสู่เขตเมืองพร้อมกันถึง 3 ทิศทาง ได้แก่1.ทิศตะวันออกจากเขาคอหงส์–เขาน้ำกระจาย ,2.ทิศตะวันตกจากอำเภอรัตภูมิ ผ่านคลอง ร.1 คลอง ร.3 คลอง ร.5 และคลองหวะ และ3. ทิศใต้จากอำเภอสะเดา ผ่านคลองทุ่งหมอ–คลองทุ่งวัน
ขณะที่ทางระบายน้ำออกเมืองมีเพียงเส้นทางเดียว คือการไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาทางทิศเหนือผ่านคลองอู่ตะเภา ทำให้ระดับน้ำในคลองหลักสูงกว่าตลิ่ง 2–3 เมตร สถานีสูบน้ำไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และเกิดน้ำท่วมรุนแรงในเขตเมืองชั้นในอย่างที่ปรากฏ
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า จากการมอบหมายของนายกรัฐมนตรี ผมและ ศ.ดร.บวรศักดิ์ ร่วมกัน “ถอดบทเรียนเชิงลึก” ที่สงขลา–หาดใหญ่ จึงได้พาทีมผู้บริหารกระทรวงคมนาคมลงพื้นที่สำรวจทั้งต้นน้ำ–กลางน้ำ–ปลายน้ำอย่างต่อเนื่อง โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคม อธิบดีกรมทางหลวง อธิบดีกรมทางหลวงชนบท อธิบดีกรมเจ้าท่า อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมประชุมหารือในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมรับฟังข้อมูลจากหน่วยงานท้องถิ่นและนักวิชาการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
โดยเราไม่ได้มองแค่งานฟื้นฟูหลังน้ำลด แต่ต้องมองให้ครบทั้งโครงสร้างน้ำและโครงสร้างทาง ลึกไปถึงผังเมืองระยะ 20–30 ปีข้างหน้า เมืองหาดใหญ่ต้องไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก และสำหรับ แนวทางระยะสั้น กระทรวงคมนาคมจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ อาทิ ขยายความกว้างและความลึกของคลองหลักรอบเมือง ได้แก่ คลอง ร.1, ร.3, ร.5, คลองเตย, คลองหวะ , ติดตั้งและปรับปรุงประตูน้ำ–สถานีสูบน้ำในจุดยุทธศาสตร์ และ เปิดทางให้น้ำบางส่วนไหลออกทางคลอง ร.5 เพื่อเพิ่มทิศทางระบายน้ำลงทะเลสาบสงขลา ไม่ให้กระจุกอยู่ที่คลองอู่ตะเภาเพียงเส้นเดียว
ขณะเดียวกัน แนวทางระยะยาว จะใช้การก่อสร้างถนนวงแหวนรอบเมืองหาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคมเป็น “โครงสร้างหลักในการจัดการน้ำ” ควบคู่ไปกับการจราจร อย่างโครงการถนนวงแหวนโดยออกแบบให้ ไม่กลายเป็นกำแพงกั้นน้ำ แต่ทำหน้าที่เป็น “แนวระบายออกจากเมือง” ผ่านการสร้างคลองระบายน้ำคู่ขนานตลอดแนววงแหวน มีความกว้างประมาณ 50 เมตร ลึก 4–5 เมตร พร้อมระบบประตูน้ำและสถานีสูบน้ำเป็นช่วง ๆ เพื่อผลักดันน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลาอย่างรวดเร็ว
“ถนนวงแหวนเส้นใหม่ จะไม่ใช่แค่ช่วยแก้รถติด แต่จะช่วยแก้น้ำท่วมไปพร้อมกัน เมื่อน้ำมาจากสามทิศ ทางออกต้องมากกว่าหนึ่งทิศ และต้องวางไว้ตั้งแต่วันนี้ในแบบถาวร” นายพิพัฒน์ย้ำ
นายพิพัฒน์ ยังเสนอให้โครงการดังกล่าวเป็น โครงการบูรณาการระดับชาติ ที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างน้อย 3–4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงคมนาคม (ถนนวงแหวนและท่าเรือ), กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน), กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เข้ามารับผิดชอบการจัดทำ “แผนแม่บทระบบน้ำของเมืองหาดใหญ่” อย่างครบวงจร เหตุการณ์จากหาดใหญ่ครั้งนี้ จะไม่หยุดแค่การเยียวยา แต่จะกลายเป็นแบบแผนสำหรับทั้งประเทศ ว่าในการวางถนน วงแหวน คลอง และประตูน้ำ ต้องคิดเป็นระบบเดียวกัน ทางกระทรวงคมนาคมพร้อมเดินหน้าไปกับทุกหน่วยงาน เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างยั่งยืน








