วันที่ 5 ธ.ค.68 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช กล่าวว่ารัฐบาลออกมารายงานอัตราเงินเฟ้อติดลบในเดือนพฤศจิกายนคือ -0.49% ติดลบต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 8 แล้ว เงินเฟ้อติดลบ เพราะปริมาณเงินเพิ่มน้อยเกินไป และเพิ่มน้อยกว่าการเพิ่มปริมาณเงินโลกด้วย ทำให้เงินบาทแข็งค่า ทำให้ส่งออกและท่องเที่ยวลดลง เศรษฐกิจจึงเติบโตต่ำ ประชาชนรายได้น้อยลง ทำให้อำนาจซื้อลดลง, ผู้ผลิตลดการผลิต ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น แต่ขายทั้งในและต่างประเทศในราคาต่ำ ไม่มีกำไร ไม่มีเงินมาลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงทำให้ GDP เติบโตต่ำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
การที่กระทรวงพาณิชย์ พูดว่าเงินเฟ้อติดลบ เพราะราคาไฟฟ้า, พลังงาน, และน้ำมันลดลง, และเพราะมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐบาล ความจริงตัวเลขเหล่านี้เป็นผล มิใช่เหตุ
เหตุที่ เงินเฟ้อติดลบคือ การเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบเศรษฐกิจ มีน้อยกว่าการเพิ่มการผลิต (GDP) ตามทฤษฏี M*V = P*GDP เมื่อ M คือปริมาณเงินบาท, V คือจำนวนรอบของการหมุนของ M ใน1ปี, และ P คือระดับราคาของผลผลิต (GDP) การเปลี่ยนแปลงของ P คืออัตราเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อเราที่ต่ำกว่าเงินเฟ้อโลก ยังมีผลให้เงินบาทแข็งค่าด้วย เพราะค่าเงินบาท, e=P/Pw คืออัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับราคาเรา (P) หารด้วยราคาโลก (Pw) การที่อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาของนำเข้าในรูปเงินบาทลดลง จึงทำให้ราคาไฟฟ้า, พลังงาน, และน้ำมันลดลง รวมทั้งราคาสินค้านำเข้าจากจีนในรูปเงินบาทก็ลดลงด้วย ราคาสินค้าเหล่านี้ที่ลดลง จึงเป็นผล มิใช่เหตุ ที่ทำให้เงินเฟ้อลดลง แต่มาตรการคนละครึ่ง ไม่ได้ทำให้ราคาสินค้าต่อหน่วยลดลง บางแห่งแพงขึ้นด้วย (แน่นอนประชาชนจ่ายเงินลดลงเพราะรัฐช่วยจ่ายให้ครึ่งหนึ่ง)
ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ด้วยนโยบายให้มีปริมาณเงินน้อยๆในระบบเศรษฐกิจ ยังไปทำให้ราคาสินค้าส่งออกและท่องเที่ยวแพงขึ้นหมดในสายตาคนต่างประเทศ ทำให้ขายไม่ได้ จึงไปลดการผลิต (GDP), ลดการลงทุน ลดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำ และประชาชนยากจนลง ดังนั้น เงินเฟ้อต่ำหรือติดลบ จึงทำให้ประเทศไม่พัฒนา ประชาชนยากจน (ในบางครั้งราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากราคาสินค้านำเข้า เรียกว่าเงินเฟ้อด้านต้นทุน ซึ่งเป็นการปรับราคาของโลก ประเทศเล็กๆอย่างเราควรปล่อยให้ราคาปรับตามไป เรียกว่า "เงินเฟ้อโลกกำหนดเงินเฟ้อเรา" ไม่ควรไปขึ้นดอกเบี้ย เพราะจะทำให้รายได้ประชาชนลดลงไป แต่เงินเฟ้อไม่ลดลงเพราะถูกกำหนดมาจากต่างประเทศ)
การนำราคาสินค้าเป็นราย Sector ของ GDP แล้วมารวมกันเป็นตัวเลขเงินเฟ้อของประเทศ เป็นเพียงวิธีการหาข้อมูลทางสถิติ ไม่ควรนำมาใช้อธิบายว่าส่วนนั้นส่วนนี้มีเงินเฟ้อต่ำ ทำให้เงินเฟ้อรวมต่ำ การพูดเช่นนี้ เป็นการเอาผลมาอธิบายเหตุ เพราะ "เหตุแห่งปัญหาเงินเฟ้อติดลบ คือปริมาณเงินบาท เพิ่มน้อยกว่าการเพิ่มปริมาณผลผลิต" เราจึงควรเพิ่มปริมาณเงินบาทให้เท่าเทียมกับปริมาณเงินโลกที่เพิ่มขึ้น เงินเฟ้อเราก็จะเป็น 3-4% เท่าๆกับเงินเฟ้อโลก ประเทศไทยก็จะเจริญเติบโตสูงขึ้น ประชาชนไทยจะมีรายได้และฐานะสูงขึ้น "รัฐบาลควรแก้ปัญหาที่เหตุ" ศ.สุชาติ กล่าว







