ข่าวเศรษฐกิจ

สภาผู้บริโภคยื่นศาลปกครอง ฟ้อง “กพช.–กกพ.” ขอยกเลิกเงินกินเปล่า ชี้ภาระค่าไฟปีละ 3.4 หมื่นล้าน

แชร์ข่าว

สภาผู้บริโภคยื่นศาลปกครอง ฟ้อง “กพช.–กกพ.” ขอยกเลิกเงินกินเปล่า ชี้ภาระค่าไฟปีละ 3.4 หมื่นล้าน

 

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 สภาผู้บริโภค ยื่นฟ้องคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้เพิกถอนประกาศ กกพ. ที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า การกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าหรือแอดเดอร์ จากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายจากนโยบายของภาครัฐ (Policy Expense หรือ PE) ที่นำไปรวมอยู่ในบิลค่าไฟของประชาชนที่ต้องจ่ายทุกเดือนในรูปแบบของค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) ส่งผลให้ประชาชนต้องจ่าย ค่าไฟแพง กว่าต้นทุนจริง โดยเป็นภาระรวมกว่า 34,000 ล้านบาทต่อปี โดยการฟ้องครั้งนี้สะท้อนความพยายามของสภาผู้บริโภคในการผลักดัน “ความเป็นธรรมด้านพลังงาน” และทวงคืนโครงสร้างค่าไฟที่โปร่งใส เป็นธรรม และไม่เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มผู้ผลิตเกินควร

 

บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า การยื่นฟ้องในวันนี้เป็น “ทางเลือกสุดท้าย” หลังจากสภาผู้บริโภคได้ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกระดับแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง ทั้งยังมีการปล่อยให้จัดเก็บอัตราค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มที่รัฐจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน หรือ ค่าแอดเดอร์ (Adder) ต่อเนื่องจนเป็นภาระต่อผู้บริโภคทั้งประเทศ

 

หากยกเลิกค่าแอดเดอร์ จะช่วยลดความจำเป็นในการขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft) ได้ทันที และทำให้ค่าไฟฟ้าต่อครัวเรือนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมย้ำว่าความตั้งใจในการฟ้องคือเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและให้ศาลตรวจสอบว่าการจัดเก็บเงินส่วนนี้ยังสอดคล้องกับกฎหมายหรือไม่

 

“ค่าแอดเดอร์ที่เรียกเก็บ 17 สตางค์ต่อหน่วย อาจดูไม่มาก แต่เมื่อนำไปรวมทั้งประเทศ กลายเป็นเงินปีละกว่า 34,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ประชาชนต้องจ่ายทั้งที่ไม่ใช่ต้นทุนจริง เราเรียกกันตรง ๆ ว่า ‘เงินกินเปล่า’ เราไม่อยากพึ่งศาลเป็นทางเลือกแรก แต่ในประเทศนี้ไม่มีที่พึ่งใดให้ผู้บริโภคไปได้มากกว่านี้แล้ว จึงต้องขอความเป็นธรรมจากศาลปกครอง เพื่อให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าไฟที่ไม่เป็นธรรมอีกต่อไป” บุญยืน ระบุ

 

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าผลักดันการปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรม ควบคู่กับการเฝ้าระวังนโยบายพลังงานที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มผู้ประกอบการจนกระทบผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ค่าไฟที่สะท้อนต้นทุนจริง โปร่งใส และเป็นธรรมต่อประชาชนทั้งประเทศ

 

ด้านรสนา โตสิตระกูล ประธานคณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ย้ำว่า จุดประสงค์หลักของการฟ้องในครั้งนี้คือการขอให้พิจารณาโครงสร้างค่าไฟฟ้าที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนปัจจุบัน โดยเฉพาะค่าแอดเดอร์ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2550 เพื่อต้องการสนับสนุนพลังงานแสงอาทิตย์ในยุคนั้น ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นชั่วคราว แต่กลับถูกต่ออายุโดยอัตโนมัติมาตลอดจนแทบเป็นนโยบายถาวร

 

รสนา ตั้งคำถามว่า ในปี 2550 ต้นทุนพลังงานแสงอาทิตย์แพง รัฐจึงให้แรงจูงใจเพิ่มอีก 8 บาทต่อหน่วย แต่ปัจจุบันต้นทุนผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ถูกลงมาก บางประเทศประมูลได้แค่ 1.3 สตางค์ต่อหน่วย แล้วเหตุใดคนไทยยังต้องซื้อไฟ 11 บาทต่อหน่วย

 

ประธานคณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ ย้ำว่า ค่าใช้จ่ายภาครัฐ หรือค่า PE ไม่ควรถูกผลักภาระให้ประชาชนอีก เพราะภาคเอกชนได้รับสิทธิประโยชน์ไปนานถึง 18 ปีแล้ว แต่กลับไม่มีการทบทวน ทั้งที่ กกพ. เคยเสนอว่าการยกเลิกค่าแอดเดอร์สามารถลดค่าไฟได้ทันที 17 สตางค์ต่อหน่วย

 

“ความเป็นธรรมต้องเกิดขึ้นกับทั้งฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค แต่ที่ผ่านมา ภาระทั้งหมดถูกโยนให้ประชาชน จึงถึงเวลาที่ศาลจะต้องตรวจสอบว่าเรายังจำเป็นต้องจ่ายเงินจำนวนหลายหมื่นล้านบาทต่อปีหรือไม่ ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคคาดหวังว่าศาลจะมีคำสั่งก่อนรอบการปรับค่า Ft เดือนมกราคม 2569 เพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเผชิญภาระค่าไฟที่สูงขึ้นอีก”

 

ทางด้าน ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความผู้รับผิดชอบคดี เปิดเผยถึงขั้นตอนทางกฎหมายว่า ขณะนี้ศาลได้ลงรับคำฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที 2526/2568 แล้ว และจะพิจารณาว่าเรื่องนี้อยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลปกครองหรือไม่ ซึ่งโดยหลักการแล้ว สภาผู้บริโภคมีสถานะเป็นผู้มีอำนาจฟ้องในคดีที่เกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภคโดยตรง โดยกระบวนการหลังจากนี้ ศาลจะใช้เวลาราว 1 – 2 เดือนเพื่อพิจารณารับฟ้อง จากนั้นศาลจะส่งสำเนาคำฟ้องให้หน่วยงานที่ถูกฟ้องเพื่อยื่นคำชี้แจงภายใน 30 วัน ก่อนเข้าสู่กระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริงและพิจารณาคดีตามขั้นตอน

 

“นี่เป็นคดีสำคัญต่อสังคม เพราะเกี่ยวข้องกับโครงสร้างราคาไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพของประชาชนทุกคน เราหวังว่าศาลปกครองจะให้ความเป็นธรรมและช่วยลดภาระค่าไฟของประชาชนได้อย่างแท้จริง” ส.รัตนมณี กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวแนะนำ

แชร์ข่าว