กขค. ผนึก สคบ. จัดสัมมนา “ดิจิทัลมาร์เก็ต: แข่งขันได้ ซื้อขายสบายใจ” เดินหน้ากำกับแพลตฟอร์มออนไลน์ ป้องกันผูกขาด–เพิ่มความมั่นใจผู้บริโภค รองรับกฎหมายใหม่ปี 2569
วันที่ 9 ธ.ค.68 สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จัดงานสัมมนาสาธารณะ “ดิจิทัลมาร์เก็ต: แข่งขันได้ ซื้อขายสบายใจ” ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ การจัดงานสัมมนาครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม โดย สำนักงาน กขค. มุ่งกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจทุกระดับเพื่อให้มีการแข่งขันทางการค้าที่เสรีและเป็นธรรม ในขณะเดียวกัน สคบ. มุ่งปกป้องคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ซึ่งการแข่งขันที่เป็นธรรมย่อมเป็นเครื่องมือในการคุ้มครองผู้บริโภคในระยะยาวอย่างยั่งยืน
งานสัมมนาดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นายไมตรี สุเทพากุล ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า กล่าวเปิดงาน พร้อมด้วย นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ให้เกียรติกล่าวนำ ก่อนเข้าสู่ช่วงของการเสวนา โดยมีนายมนยศ วรรธนะภูติ รองเลขาธิการคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของงานสัมมนาครั้งนี้ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านกฎหมายและนโยบายการแข่งขันทางการค้าและการคุ้มครองผู้บริโภค ใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) พัฒนาการของเทคโนโลยีที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจและสังคม 2) บทบาทของกฎหมายการแข่งขันทางการค้า และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในยุคดิจิทัล 3) ความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่เป็นธรรมและยั่งยืน
บรรยากาศบนเวทีเสวนาเริ่มต้นด้วยการแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับ การกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจและการคุ้มครองผู้บริโภคในธุรกิจ E-Marketplace โดย รศ.สุธรรม อยู่ในธรรม รองประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมร่วมพูดคุยกับ ดร.ประถมพงศ์ ศรีนวล ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและจัดการทรัพยากรโทรคมนาคม สำนักงาน กสทช. และ ดร.วสันต์ ภัทรอธิคม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สวทช. เพื่อฉายภาพตลาดยุคดิจิทัลแพลตฟอร์มที่อาจมีความเสี่ยงในการผูกขาดแบบ Winner Take All ที่รายอื่นไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ และช่วงต่อมา หม่อมหลวงปรียทิพย์ เทวกุล ผู้อำนวยการฝ่ายโครงสร้างตลาดและระบบธุรกิจ สำนักงาน กขค. พร้อมด้วย นายณัชภัทร ขาวแก้ว นักสืบสวนสอบสวนชำนาญการพิเศษ สคบ.
ดร.อัครพล ฮวบเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายแสวงหาข้อเท็จจริง สำนักงาน กขค. และ นางวิมลรัตน์ รุกขวรกุล เตริยาภิรมย์ ผู้อำนวยการส่วนความร่วมมือกับต่างประเทศ สคบ. ได้ร่วมกันฉายภาพตลาดธุรกิจ E-Marketplace ซึ่งจากผลการศึกษาพบว่า มีความกระจุกตัวสูงและมีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ตลาดธุรกิจ E-Marketplace จึงอาจมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่การผูกขาด และส่งผลกระทบต่อการแข่งขันในวงกว้าง ซึ่งกรณีดังกล่าวหลายประเทศได้ใช้วิธีการกำกับดูแลทั้งแบบ Ex-post และ Ex-ante เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน โดยประเทศไทยก็กำลังพัฒนาเครื่องมือกำกับดูแลในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ สคบ. ยังมุ่งเน้นการสนับสนุนให้ผู้บริโภคดูแลตนเองได้ โดยใช้กฎหมายและแนวทางปฏิบัติจากต่างประเทศเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลคนกลางและแพลตฟอร์ม อันจะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการกำกับดูแลตลาดดิจิทัลในอนาคต
พลตำรวจโทพิทยา ศิริรักษ์ กรรมการการแข่งขันทางการค้า กล่าวว่า คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) มีหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแลการแข่งขันให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบธุรกิจทุกระดับ โดยในตลาดดิจิทัลแพลตฟอร์มหากมีการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพย่อมเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ โดยปราศจากการบิดเบือนกลไกตลาด ที่ผ่านมา สำนักงาน กขค. ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาในการประกอบธุรกิจในตลาดดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิด
ตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้า เช่น การบังคับร่วมโปรโมชัน การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมอย่างไม่เป็นธรรม การให้สิทธิพิเศษแก่สินค้าหรือบริการของตนเองเหนือคู่แข่งโดยกำหนดให้มีการแสดงผลการค้นหาที่เด่นกว่าหรือการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของคู่แข่ง เป็นต้น ทั้งนี้ สำนักงาน กขค. ได้จัดทำ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เรื่อง แนวทางพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม และการกระทำอันเป็นการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในการประกอบธุรกิจแพลตฟอร์มหลายด้าน (Multi-sided Platform) ประเภทธุรกิจบริการดิจิทัลแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าหรือบริการ (E-Commerce) โดยร่างประกาศดังกล่าวครอบคลุมพฤติกรรมการประกอบธุรกิจในตลาดดิจิทัลแพลตฟอร์ม ภายใต้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า ซึ่งขณะนี้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นทั้งจากสาธารณชน ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ผู้ขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบัน กขค. ได้พิจารณาร่างประกาศดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว อยู่ระหว่างการปรับปรุงของสำนักงาน กขค. คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายเดือนมกราคม 2569 ก่อนที่จะประกาศใช้บังคับต่อไป และเมื่อการแข่งขันในตลาดดิจิทัลแพลตฟอร์มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์สูงสุดย่อมเกิดกับผู้บริโภคโดยรวมต่อไป
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า อำนาจหน้าที่ของ สคบ. นอกจากจะต้องดูแลคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคแล้ว ยังมีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายออนไลน์หรือที่เรียกว่า “ตลาดแบบตรง” ตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545
ซึ่งกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจซื้อขายออนไลน์ที่เข้าเกณฑ์ต้องยื่นจดทะเบียนธุรกิจตลาดแบบตรงกับ สคบ. รวมถึงต้องวางหลักประกันเพื่อนำมาใช้ในกรณีที่เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคด้วย ที่ผ่านมา สคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์หลายกรณี ทั้งกรณีสินค้าไม่มีคุณภาพมาตรฐาน กรณีสินค้าไม่ตรงปก รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับการขนส่งสินค้า เช่น สินค้าชำรุดเสียหายจากการขนส่ง การส่งสินค้าล่าช้ากว่ากำหนด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการร้องเรียนปัญหาเรื่องโปรโมชันหรือการให้ส่วนลดที่ไม่เป็นไปตามที่ผู้ขายหรือแพลตฟอร์มโฆษณาไว้ กรณีปัญหาดังกล่าวข้างต้น หากผู้ประกอบธุรกิจมีการจดทะเบียนธุรกิจแบบตรงก็จะทำให้ สคบ. สามารถติดตามกำกับดูแลได้ง่ายขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาคุณภาพสินค้าและการให้บริการ และช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภคในระยะยาวต่อไป
ท้ายสุดก่อนการปิดงานสัมมนาดังกล่าว นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ นายธีรวัฒน์ ทิพย์รัตน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ได้ตอกย้ำถึงความร่วมมือในการกำกับดูแลธุรกิจดิทัลแพลตฟอร์มเพื่อผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภคระหว่างสำนักงาน กขค. กับ สคบ. โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลมาร์เก็ต เพื่อให้เกิดการประกอบธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล อันจะนำประโยชน์สูงสุดมาสู่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคโดยรวม ซึ่งจะมีสินค้า บริการ และนวัตกรรมต่าง ๆ ให้เลือกอย่างหลากหลายในราคาที่เหมาะสม นับเป็นการคุ้มครองสวัสดิภาพของผู้บริโภคอย่างยั่งยืน







