ศึกสามเส้า ทั้ง “ส้ม-แดง-น้ำเงิน” กลางสมรภูมิ ในวาระ “แก้รัฐธรรมนูญ” ต้องยอมรับว่าดุเดือดและเข้มข้นอย่างเห็นได้ชัด !
ดูเหมือนว่า ข้อตกลงทางการเมือง MOA ระหว่าง พรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย ยังไม่มีเรื่องไหน ที่เข้าใกล้ “ความเป็นจริง” ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะ หัวใจหลักที่พรรคประชาชน เลือกตัดสินใจพา “151 สส.” โหวตเลือก “อนุทิน ชาญวีรกูล” ให้ได้เป็นนายกฯ คนที่ 32 นอกจากจะให้มาเพื่อ “ยุบสภาฯ” แล้ว ยังเชื่อว่าพรรคประชาชนจะได้ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน ตามที่ต้องการ ไปพร้อมๆกับการ “โละ” รัฐธรรมนูญฉบับคสช.
เส้นทางการแก้รัฐธรรมนูญ ตลอดระยะเวลาเกือบสองเดือนที่ผ่านมา เต็มไปด้วยแรงกกดันที่พุ่งไปยัง พรรคประชาชน มากกว่าใคร
เพราะอย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคประชาชนมองว่าเต็มไปด้วย “กับดัก” ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดย คสช. โดยเฉพาะการมี “องค์กรอิสระ” ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกลไกที่จะถูกนำมาใช้ทำนิติสงคราม กับกลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้าม
แต่สำหรับพรรคภูมิใจไทยแล้ว ตั้งข้อสังเกตว่าแทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ อีกทั้ง นายกฯอนุทินเองก็เคยอยู่ร่วมรัฐบาลกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” องคมนตรี และอดีตนายกฯ มาก่อน มิหนำซ้ำ เมื่อมองกลับไปยังการได้มาซึ่ง “สว.” ตามรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 ยังทำให้พรรคภูมิใจไทยเองสามารถสร้างโมเดล “สว.สีน้ำเงิน” เป็นอีกหนึ่งกลไกการเมืองใน “สภาสูง” ได้อย่างน่าพอใจ
ความเข้มข้น ในเกมแก้รัฐธรรมนูญดำเนินไป พร้อมๆกับการ “นับถอยหลัง” อายุรัฐบาลเสียงข้างน้อย ที่นายกฯอนุทิน ปักหมุดเอาการยุบสภาฯ เอาไว้ในสิ้นเดือนม.ค.ปีหน้า 2569 เท่ากับว่าพรรคประชาชน กำลังทำงานแข่งกับเวลาไม่แตกต่างกัน
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมของรัฐสภา (กมธ.แก้รัฐธรรมนูญฯ) พิจารณาวาระเนื้อหามาตรา 256/1 ว่าด้วยองค์กรผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ผลการลงมติปรากฏว่า กรรมาธิการ “เสียงข้างมาก” เห็นด้วยกับการกำหนดให้มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรผู้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพียงองค์กรเดียว ไม่มี สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยที่กมธ.ยกร่างฯ ไม่ได้มาจาก “ประชาชน” เลือก แต่ให้มาจาก “รัฐสภา” เป็นผู้เลือก
และน่าสนใจว่า การลงมติ “เสียงข้างมาก” ครั้งนี้ ยังมาจากพรรคประชาชนกับพรรคภูมิใจไทย เท่ากับว่า พรรคเพื่อไทย แพ้ในช็อตนี้ เนื่องจาก พรรคเพื่อไทยต้องการให้มี “ส.ส.ร.”
“กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญที่จะเสนอมาใช้รูปแบบใด ซึ่งผมเดาว่าท้ายที่สุดเขาคงตัดเลือกตั้งออก หากเป็นแบบนั้นจะไปอย่างไร ซึ่งพรรคเพื่อไทยเห็นมาโดยตลอดว่าการมีสสร. ที่ประชาชนเลือกมาชั้นหนึ่งแล้ว ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ” ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา ระบุ (13 พ.ย.68)
นอกจากชูศักดิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาแสดงความไม่พอใจแล้ว “สมคิด เชื้อคง” สส.อุบลฯ พรรคเพื่อไทย มองว่า การตัดไม่ให้มี ส.ส.ร. ก็เท่ากับตัดการมีส่วนร่วมของประชาชน ออกไป และยังมองว่าเกมนี้ทั้งส้มและสีน้ำเงิน พูดคุยกันมาแล้ว
“ การลงมติของคณะกมธ.ฯ เห็นชัดว่าไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเจตนารมย์ที่ชัดเจนของพรรคภูมิใจไทยมาตั้งแต่ต้น เพราะเมื่อมีการยุบสภาคณะกรรมาธิการชุดที่จะมีการแต่งตั้งโดยสภาก็จะสิ้นสภาพตามไปด้วย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จ ตามเจตนารมณ์ของประชาชนที่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
นอกจากนี้สมคิด ยังเชื่อว่าพรรคประชาชนเต็มใจที่จะถูก พรรคภูมิใจไทยหลอก ในเกมนี้มาตั้งแต่ต้น ที่ลงนาม MOA ด้วยกันอยู่แล้ว เพราะพรรคภูมิใจไทย ไม่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญฉบับ คสช. อยู่แล้ว ส่วนพรรคประชาชนเอง รู้ดีว่า หากเป็น ร่างแก้ไขฯ ของพรรคประชาชนเอง ก็คงไม่ผ่าน “ด่านสว.” อยู่แล้ว
เกมแก้รัฐธรรมนูญ จากนี้จะต้องเดินกันต่อในชั้นการพิจารณาของที่ประชุมสภาฯ ในวาระ 2 ซึ่งแน่นอนว่ารัฐบาลจะต้องให้การเปิดสภาสมัยวิสามัญ ขึ้นก่อนวันที่ 12 ธ.ค. 68 โดย “พริษฐ์ วัชรสินธุ” สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฯ ย้ำว่า มีความจำเป็นต้องเปิดสมัยประชุมวิสามัญในวาระ 2 ก่อนวันที่ 12 ธ.ค. กรรมาธิการ จะหาข้อสรุปส่งรายงาน และบรรจุสู่ระเบียบวาระได้ทัน
ล่าสุด นายกฯอนุทิน ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด รัฐสภาเตรียมพร้อมที่จะเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อให้วาระ 2 และ3 ของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี
“ขอย้ำว่าเอ็มโอเอเป็นข้อผูกมัด ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน ซึ่งเราต้องดําเนินการตามนั้น ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล” (13 พ.ย.68)
เมื่อมีความชัดเจนแล้วว่า ในการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ ตาม MOA ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นความต้องการของพรรคประชาชน จะมีเพียงคณะกรรมาธิการยกร่างฯ จำนวน 35 คน โดยมีกรอบเวลาขีดเส้นให้รัฐสภา ต้องเลือกให้แล้วเสร็จภายใน 60วัน หรือ 2เดือน อย่าลืมว่ายังเป็นหนทางที่ฝากเอาไว้กับ “อนาคต” ที่ยังอาจมี “สถานการณ์” ทั้งการเมือง และการบ้านเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น !








