สถาพร ศรีสัจจัง
ข้อมูลทางวิชาการบอกเราว่า ศาสนาพุทธ เข้าสู่ดินแดนที่เรียกว่า “ประเทศไทย” ปัจจุบัน เมื่อประมาณ พ.ศ. 236 หรือเมื่อประมาณ 2,200 ปีที่แล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่ดินแดนที่เรียกกันว่า “สุวรรณภูมิ” แห่งนี้อยู่ในยุคที่นักประวัติศาสตร์เรียกกันว่ายุค “ทวารวดี”
จากนั้นคตินิยมเชิงพุทธก็ปรับตัวหลอมรวมเข้ากับคติความเชื่อเดิมในพื้นที่ ทั้งลัทธิผีและลัทธิพราหมณ์ จน สถิตเสถียร สถาพร เป็น “คตินิยมเชิงพุทธ” ลงใน “วัฒนธรรมแห่งชีวิต” ของผู้คนในแถบแดนดินถิ่นนี้แบบฝังลึกในเลือดเนื้อและ จิตวิญญาณ มาอย่างยาวนานนับพันปี
ก่อนที่ “หน่ออ่อน” ของคตินิยมแบบ “ทุน” ของชาติตะวันตก จะเข้ามาก่อเกิดภายใต้ชื่อของ “สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง” (Bowring Treaty) ที่จัดทำขึ้นระหว่าง “ราชอาณาจักรสยาม” กับ “จักรวรรดิบริติช” (อังกฤษ) เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2398
สนธิสัญญานี้ก่อผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การเปิดเสรีการค้า” ระหว่างราชอาณาจักรสยามกับต่างประเทศ (ชาติตะวันตก) มากขึ้น
ผู้แทนสยามที่ลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้มี 5 รายชื่อ ที่สำคัญคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท พระอนุชาต่างพระมารดาของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ส่วนฝ่ายอังกฤษคือ เซอร์ จอห์น เบาว์ริง เอกอัครราชทูต ของสหราชอาณาจักรและผู้สำเร็จราชการเกาะฮ่องกง
จากนั้นสยามก็เปิดรับ “กระแสวัฒนธรรมตะวันตก” มากขึ้นเรื่อย ๆ มาตามลำดับ แต่ด้านหนึ่งก็ยังคงสามารถรักษากรอบทัศน์เกี่ยวกับ “ระบบคุณค่า” ที่เป็น “รากทางภูมิปัญญา” ดั้งเดิมของตนไว้ได้เป็นด้านหลัก อย่างน้อยก็จนสิ้นรัชสมัย ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6
อันสอดคล้องอย่างยิ่งกับพระราชดำรัสทรงเตือนก่อน สิ้นพระชนม์ ของ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 ที่ว่า “…การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนร่ำเอาไว้ ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปทีเดียว”
กระทั่ง “ลมความคิดจากตะวันตก” เกิด กรรโชก แรงครั้งใหญ่ นั่นคือเกิดการ “อภิวัฒน์” ครั้งใหญ่ขึ้นในสังคมสยาม โดยกลุ่มก่อการเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศที่ใช้นามว่า “คณะราษฎร” ที่หัวขบวนส่วนใหญ่เป็น “นักเรียนหัวนอก” จากประเทศแถบยุโรป ส่วนใหญ่คือจากฝรั่งเศส เยอรมนี และอังกฤษ
“คณะราษฎร” ดังกล่าว ก่อการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบบที่เรียกว่า “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” (Absolute Monarchy) ซึ่งเป็นระบบที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้สำเร็จ ประกาศสถาปนาระบบการปกครองประเทศสยามเสียใหม่ เป็นระบอบที่ชาติตะวันตกเรียกว่า “ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (Constitutional Monarchy)
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 นับเวลาจากปีนั้นถึงปีปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) ก็กินเวลาถึง 93 ปี เข้าแล้ว!
หลังจากวันนั้นถัดมาอีก 6 ปี ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2481 รัฐบาลภายใต้การนำของ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้นำการอภิวัฒน์ (ฝ่ายทหาร) ก็ได้ประกาศให้วันที่ 24 มิถุนายน เป็น “วันชาติ” ของประเทศ “สยาม”
และในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 (วันที่เดียวเดือนเดียวแต่คนละปีกับ “วันอภิวัฒน์”) รัฐบาลสยามภายใต้การนำของ จอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี (แปลก ขีตตะสังคะ-ผู้นำการอภิวัฒน์วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ฝ่ายทหารอีกคน) ก็ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี “ว่าด้วยรัฐนิยม” ฉบับที่ 1 ให้เปลี่ยนแปลงชื่อเรียกประเทศจากชื่อเดิมคือ “สยาม” (Siam) เป็น “ประเทศไทย” (Thailand)
ดังนั้นเมื่อนับถึงปี พ.ศ. นี้ (2568) ชื่อ “ประเทศไทย” ของเราจึงมีอายุเพียง 86 ปี เท่านั้น! น้อยกว่าอายุของ “ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เสียอีกหลายปีทีเดียว
กระทั่ง ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 หรือ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ในรัชกาลปัจจุบัน (ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 10) เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489
ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2503 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น (ที่ได้อำนาจรัฐมาจากการทำ รัฐประหาร รัฐบาลของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม) ก็ประกาศเปลี่ยนแปลงวันชาติจากเดิม คือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ที่ทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์พระประมุขของประเทศในขณะนั้น
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ “เผด็จการ” ที่ได้อำนาจรัฐมาจากการรัฐประหาร (นักการเมืองและนักวิชาการส่วนใหญ่ปัจจุบันนิยมเรียกผู้ได้อำนาจรัฐมาจากการรัฐประหารว่า “เผด็จการ”) นี่เอง ที่ได้สถาปนา “ระบบทุนนิยมตะวันตกแบบอเมริกัน” ให้รุ่งเรืองขึ้นในประเทศไทยอย่างจริงจัง!
อันอาจนับได้ว่า สิ่งนี้ น่าจะเป็นเหตุปัจจัยเบื้องต้นสำคัญที่สุด ในการเป็นตัวเร่งทำให้ ระบบทุนนิยมเสรีแบบอเมริกัน ซึ่งมีแก่นแกนหัวใจของระบบอยู่กับวาทกรรมที่ว่า “เงินเป็นใหญ่-กำไรสูงสุด” ก่อผลอย่างรุนแรงเฉียบพลันในการเปลี่ยนแปลงคตินิยมที่เป็น “ราก” ของระบบคุณค่าดั้งเดิมของไทยหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวกับ “สัมมาอาชีวะ” และ “อาชีวปฏิญาณ”








