แม้สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาจะกลับมาเดือดระอุอีกครั้ง แต่ว่ากันว่าเดือน “ธันวาคม” นี้ อาจมีเงื่อนไขที่ทำให้สมการการเมืองเปลี่ยนแปลง แม้จะขี่กระแสสแกมเมอร์ถือแต้มต่อรัฐบาลอนุทิน แต่ในเดือนสุดท้ายของปี 2568 อาจมีประเด็นที่ทำให้พรรคประชาชนต้องสั่นสะเทือน
เพราะนอกจากคดีจริยธรรมของอดีต ส.ส. กลุ่ม 44 คน กรณีร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เตรียมสรุปสำนวนภายในสิ้นปีแล้ว ในห้วงเวลาเดียวกันยังเกิด “ระเบิดลูกใหม่” ที่อาจกลายเป็นวิบากกรรมซ้ำซ้อนของพรรคประชาชน นั่นคือคดีผู้ช่วย ส.ส. ที่อาจนำไปสู่การยุบพรรค!!
ต้นเรื่องมาจากการที่พรรคประชาชนถูกคู่แข่งทางการเมืองยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ กกต. ให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ “ผู้ช่วย ส.ส.” ในสังกัด โดยอ้างว่าบางรายอาจไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายและระเบียบสภากำหนด เช่น ระดับการศึกษา หรือการปฏิบัติหน้าที่ที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ของพรรค
แม้โฆษกพรรคประชาชนจะออกมาชี้แจงว่า ผู้ช่วยทุกคนมีคุณสมบัติครบ “จบ ม.6 จริง” และการแต่งตั้งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด แต่กระแสตรวจสอบกลับยิ่งรุนแรง เมื่อ “ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม” อดีตสมาชิกวุฒิสภา ออกมาชี้ว่า
“หาก กกต. ตรวจสอบพบการแต่งตั้งผู้ช่วย ส.ส. ที่ผิดหลักเกณฑ์ หรือมีพฤติการณ์ส่อไปในทางไม่โปร่งใส ก็อาจเข้าข่ายเหตุให้ยุบพรรคได้”
สัญญาณดังกล่าวสะท้อนว่าพรรคประชาชนกำลังเดินอยู่บนเส้นขอบบางของวิบากกรรมทางการเมืองรอบใหม่ เดือนธันวาคมจึงอาจเป็นช่วงเวลาที่พรรคประชาชนต้องรับแรงกดดันพร้อมกันหลายทิศทาง
หนึ่ง คดีจริยธรรม 44 ส.ส. ที่ ป.ป.ช. เร่งสรุปผล หากชี้มูลแล้วศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่ามีความผิด โทษสูงสุดคือ “ตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต” และ “สิ้นสภาพ ส.ส. ทันที” ซึ่งจะทำให้เสียงในสภาของพรรคลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และยังส่งผลต่อการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้
สอง คดีผู้ช่วย ส.ส. ที่เพิ่งจุดติด อาจกลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งให้ กกต. พิจารณายุบพรรค หากพิสูจน์ได้ว่ามีการแต่งตั้งบุคคลโดยไม่ถูกต้องหรือมีการใช้เงินงบประมาณในทางมิชอบ
สาม ผลต่อ MOA กับพรรคภูมิใจไทย บันทึกข้อตกลงที่สองพรรคทำร่วมกันระบุว่าจะมีการยุบสภาภายใน 31 มกราคม 2569 และร่วมกันเดินหน้าการแก้รัฐธรรมนูญ แต่หากพรรคประชาชนถูกยุบหรือมีสถานะทางกฎหมายสิ้นสุดก่อนถึงกำหนดนั้น ข้อตกลงนี้จะ “หมดสภาพ” ทันที
นั่นหมายความว่านายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล จะมีอำนาจเต็มกลับมาในมือ โดยไม่ต้องยึดตามเงื่อนไข MOA อีกต่อไป และสามารถเลือกเวลา “ยุบหรือไม่ยุบสภา” ได้ตามจังหวะทางการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อพรรคภูมิใจไทยมากที่สุด
หากพรรคประชาชนต้องเผชิญทั้งคดีจริยธรรมและคดีผู้ช่วย ส.ส. ในเวลาใกล้เคียงกัน โอกาสที่พรรคจะรักษาฐานเสียงไว้ได้ครบในการเลือกตั้งจึงยิ่งเลือนราง ในทางปฏิบัติ หากมีการตัดสิทธิ์ ส.ส. จำนวนมากหรือพรรคถูกยุบ สมาชิกจะต้องหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน เพื่อรักษาสถานะในสภา
ในมุมของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล สถานการณ์นี้อาจไม่ใช่วิกฤติ แต่เป็น “ช่องโอกาส” ทางการเมือง เพราะหากพรรคประชาชนซึ่งเป็นคู่สัญญา MOA ถูกยุบหรืออ่อนแรง ก็จะทำให้การเลือกตั้งที่จะมาถึงนั้น “เหนื่อยน้อยลง” ด้วยพรรคเพื่อไทยก็ถูกถอนกำลังไปก่อนหน้านี้
ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีสามารถใช้ข้ออ้างเรื่อง “สถานการณ์เปลี่ยนไป” เพื่อชะลอการยุบสภาตามข้อตกลง MOA และเดินหน้าบริหารต่อ โดยอ้างว่าจำเป็นต้องสร้างเสถียรภาพในช่วงที่บ้านเมืองยังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหม่
นี่คือ play it by ear ตามสไตล์อนุทิน รอให้ฝ่ายตรงข้ามสะดุดก่อน แล้วค่อยเลือกจังหวะชิงความได้เปรียบ หากเปรียบการเมืองไทยเป็นกระดานหมาก พรรคประชาชนกำลังยืนอยู่ตรงกลางของวงล้อมสองชั้น ทั้งคดี ม.112 และคดีผู้ช่วย ส.ส.
พันธะทางการเมืองใน MOA ที่เคยเป็น “ไพ่ตาย” ในมือก็อาจหมดไป ทุกเหตุการณ์ถูกเร่งเข้าสู่ “เส้นตาย” ในเดือนธันวาคมนี้ และแต่ละเส้นล้วนเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน
ธันวาปีนี้จึงไม่ใช่เพียงเดือนแห่งเทศกาล แต่คือ “เดือนสาหัส” ที่อาจกำหนดทิศทางใหม่ของรัฐบาล และชี้ชะตาว่าพรรคประชาชนจะอยู่รอดหรือล่มสลายในกระแสการเมืองที่เข้มข้นที่สุดรอบปี
#ธันวาสาหัส #พรรคประชาชน #อนุทินชาญวีรกูล #คดีผู้ช่วยสส #คดีม112 #MOA #การเมืองไทย #ยุบพรรค #ข่าวการเมืองร้อน #เส้นตายธันวาคม








