สถานการณ์ ราคาข้าวเปลือก ของไทยในปัจจุบันกำลังอยู่ในภาวะที่ถูกกดดันจากหลายปัจจัย ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกและตลาดภายในประเทศมีแนวโน้มผันผวนและอาจลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีการผลิต 2568/69 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาท้าทายของภาคเกษตรไทย แม้ราคาข้าวในภาพรวมจะไม่ตกต่ำถึงจุดวิกฤติอย่างบางช่วงในอดีต แต่ระดับราคาที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็สร้างความกังวลให้กับเกษตรกรจำนวนมาก เพราะต้นทุนการผลิตกลับเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายรับที่ไม่แน่นอน
ข้าวเปลือกเจ้า 5% ซึ่งเป็นหนึ่งในสายพันธุ์สำคัญของการส่งออก มีการปรับลดราคาลงอย่างชัดเจนในตลาดโลก ขณะที่แนวโน้มราคาข้าวโดยรวมในปี 2568 ถูกคาดหมายว่าจะต่ำกว่าปีก่อนหน้า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาลดลงคือการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดโลกและความผันผวนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การเปรียบเทียบราคาข้าวในแต่ละยุครัฐบาลสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนทางนโยบายที่มีผลโดยตรงต่อรายได้ของ "ชาวนา" ในอดีตช่วงที่รัฐบาลมีนโยบายรับจำนำหรือประกันราคาข้าวอย่างจริงจัง ราคาข้าวในประเทศมักสูงกว่าตลาดโลก แต่ต้องแลกมาด้วยภาระงบประมาณและปัญหา "ข้าวล้นสต็อก" ขณะที่ช่วงที่ปล่อยให้กลไกตลาดเป็นตัวกำหนด ราคาข้าวมักตกต่ำลงตามภาวะอุปทานล้นตลาด
จนมาถึงรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล การบริหารนโยบายด้านข้าวอยู่ภายใต้กรอบแนวคิด “กลไกตลาดควบคู่การพยุงราคา” โดยกำหนดราคาพยุงข้าวเปลือกนาปีฤดูผลิต 2568/69 ไว้ที่ 12,000 บาทต่อตัน เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำเกินไปและรักษาเสถียรภาพรายได้ของเกษตรกร มาตรการดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามของรัฐในการหาจุดสมดุลระหว่างการรักษากลไกตลาดกับการดูแลชาวนาไม่ให้ได้รับผลกระทบจาก "ความผันผวน"
แรงกดดันหลักที่ทำให้ราคาข้าวเปลือกไทยลดลงมาจากหลายมิติ ทั้งการกลับมาส่งออกของอินเดีย ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่ในตลาดโลกหลังมีผลผลิตเพิ่มขึ้นและมีสต็อกจำนวนมาก ส่งผลให้แย่งส่วนแบ่งตลาดและกดราคาข้าวไทยให้อยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกันประเทศผู้นำเข้าหลักอย่างฟิลิปปินส์เริ่มชะลอการนำเข้าในช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 ยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันด้านราคาให้รุนแรงขึ้น อีกด้านหนึ่ง ต้นทุนการผลิตภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย ค่ายา และค่าแรง ส่งผลให้แม้ราคาข้าวจะดูดีเมื่อเทียบกับบางช่วงในอดีต แต่ผลกำไรสุทธิของเกษตรกรกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ปัญหาคุณภาพเมล็ดพันธุ์ ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก ก็เป็นอีกอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ข้าวไทยเสียเปรียบในเชิงการแข่งขัน
เพื่อบรรเทาผลกระทบและสร้างเสถียรภาพให้ราคาข้าวในประเทศ รัฐบาลได้ออกชุดมาตรการช่วยเหลือวงเงินกว่า 5 หมื่นล้านบาท ผ่านมติของคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) โดยครอบคลุมหลายด้าน ทั้งโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เพื่อให้ชาวนาสามารถเก็บข้าวไว้ขายในช่วงราคาดีขึ้น โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าว ที่เก็บสต็อกเพื่อควบคุมปริมาณผลผลิตในตลาด โครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตไร่ละ 500 บาท (ไม่เกิน 10 ไร่) รวมถึงโครงการสนับสนุนการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม เพื่อให้ชาวนาหันไปปลูกพืชทางเลือกที่สอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่และความต้องการตลาด
มาตรการทั้งหมดนี้สะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐในการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวและรายได้ของชาวนาในระยะสั้น พร้อมวางรากฐานสู่การพัฒนาเชิงโครงสร้างในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของนโยบายจะขึ้นอยู่กับการบูรณาการของทุกภาคส่วน ทั้งการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้ “ข้าวไทย” สามารถกลับมาแข่งขันได้อย่างมั่นคงในตลาดโลก และยืนหยัดเป็นสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต








