จากเวทีการประชุมระดับโลก "ปักกิ่งฟอรั่ม 2025" (Beijing Forum 2025) ได้เกิดเสียงเตือนที่สั่นสะเทือนวงการศึกษาไปทั่วโลก เมื่อเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจากนานาประเทศ ได้แสดงความกังวล ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากบทบาทที่เพิ่มขึ้นของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในงานวิชาการของนักศึกษา ซึ่งอาจนำไปสู่การ "บ่อนทำลายความสามารถในการคิดอย่างอิสระและสร้างสรรค์ ของนักศึกษาได้อย่างมีนัยสำคัญ"
สัญญาณเตือนภัยครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ AI ได้พิสูจน์ศักยภาพอันน่าทึ่ง จนน่าตกใจ ในการสร้างสรรค์งานที่ซับซ้อนเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นการรังสรรค์เรียงความสำหรับการสอบกลางภาคได้อย่างไร้ที่ติ การจัดทำชุดนำเสนอ PowerPoint ที่สวยงามและพร้อมใช้ หรือแม้กระทั่งการสรุปเนื้อหาจากบทอ่านความยาวกว่า 100 หน้าได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ซึ่งความสามารถเหล่านี้กำลังทำให้เส้นแบ่งระหว่าง "ความช่วยเหลือ" และ "การพึ่งพา" เริ่มเลือนราง
- DeepSeek และ ChatGPT : ผู้บุกรุกไร้เสียงในรั้วมหาวิทยาลัย
เครื่องมือแชตบอต (Chatbot) อันทรงพลังที่ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง AI อย่าง ดีปซีค (DeepSeek) และ แชตจีพีที (ChatGPT) ได้แทรกซึมเข้าสู่ระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างเงียบ ๆ ทั่วโลก รวมถึงในประเทศจีนด้วย การที่นักศึกษาจำนวนมหาศาลหันมาพึ่งพาเครื่องมือ AI เหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในการทำงานวิชาการ ทำให้บรรดาผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาต้องเผชิญกับคำถามเชิงจริยธรรม และวิชาการครั้งใหญ่ และเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่สถาบันการศึกษาจำเป็นต้องทบทวนบทบาทและกำหนดแนวทางการใช้ AI ในการเรียนรู้ระดับสูงอย่างจริงจัง
- ข้อกังวลการพึ่งพาเครื่องมือ AI
ประเด็นหลักที่ผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลอย่างมาก คือ การพึ่งพาเครื่องมือ AI ที่สร้างเนื้อหา (Generative AI) มากเกินไป เช่น ChatGPT ซึ่งอาจนำไปสู่ "ภาวะสมองขี้เกียจคิด" (Intellectual Passivity หรือ Cognitive Offloading) ดังนี้ครับ
สมองทำงานลดลง : งานวิจัยจาก MIT ได้ใช้เทคโนโลยี EEG สแกนคลื่นสมองของอาสาสมัครขณะเขียน พบว่ากลุ่มที่ใช้ AI ช่วยเขียน มีการทำงานเชื่อมโยงของสมองที่เกี่ยวข้องกับทักษะการบริหารจัดการ ความจำ และสมาธิ ลดลงถึง 55% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่คิดด้วยตนเอง
สูญเสียการไตร่ตรองเชิงลึก : การพึ่งพา AI ทำให้ผู้เรียน "โยนภาระการคิด" ไปให้เครื่องมือแทนที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริง การเขียนที่ได้มักจะมีรูปแบบซ้ำซากจำเจ และผู้ใช้ AI เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถจำเนื้อหาที่ตัวเองเขียนเพื่อนำมาอ้างอิงได้อย่างถูกต้องในภายหลัง
ความเสี่ยงต่อทักษะการคิดวิเคราะห์ : การพึ่งพา AI อย่างไม่ระมัดระวังส่งผลกระทบโดยตรงต่อทักษะการอ่าน การคิดเชิงวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
- "ทำร้ายตัวเองในระยะยาว" : คำเตือนจาก NYU เซี่ยงไฮ้
"นายเจฟฟรีย์ เลห์แมน" รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) เซี่ยงไฮ้ ได้กล่าวเตือนอย่างรุนแรงในที่ประชุมว่า หากนักศึกษายกงานที่ควรทำเพื่อฝึกฝนทักษะจำเป็นเหล่านี้ไปให้ AI จัดการ ก็เท่ากับพวกเขากำลัง "ทำร้ายตัวเองในระยะยาว"
"เนื่องจากเมื่อนักศึกษาพึ่งพา AI มากเกินไปในการสรุปบทความ พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำความเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของผู้เขียนและตั้งคำถามต่อความถูกต้องของเนื้อหาได้น้อยลง ซึ่งทักษะเหล่านี้คือแกนหลักที่สำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการอ่าน การวิเคราะห์ข้อโต้แย้ง และการคิดเชิงวิพากษ์ในเชิงวิชาการ" นายเจฟฟรีย์ กล่าวเตือน
- นศ.PKU ชี้ AI คือ "ผู้ช่วยระดมสมอง" ที่เปิดโลกทัศน์
อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจ "นายหยาง จุนเจี๋ย" นักศึกษาปริญญาเอกสาขาปรัชญา จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง (PKU) ได้นำเสนอมุมมองที่สมดุล โดยเขายอมรับว่ากระบวนการระดมสมองร่วมกับ AI นั้นเป็นประโยชน์อย่างมากในการเปิดมุมมองใหม่ ๆ และขยายขอบเขตความคิดของเขา
"มันช่วยให้ผมทำความเข้าใจแนวคิด ลำดับการให้เหตุผล และข้อสันนิษฐานเบื้องหลังที่บางครั้งผมอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ได้ด้วยตัวเอง" นายหยางกล่าว โดยย้ำว่า แม้จะยอมรับว่า AI ไม่สามารถสร้างองค์ความรู้หรือแนวคิดใหม่ทั้งหมดขึ้นมาได้ แต่เขามองว่า AI เป็นเพียงเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยขัดเกลาและพัฒนาความคิดของเขาให้ดียิ่งขึ้น
- ย้ำแนวคิดคุณคือ "นักบิน" ไม่ใช่ "ผู้โดยสาร"
นายเลห์แมน ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือ AI นี้ไว้อย่างน่าสนใจและชัดเจนว่า "เราควรบอกนักศึกษาว่า คุณคือนักบิน และ AI คือผู้ช่วยนักบิน ซึ่งการมีผู้ช่วยหลายคนก็เป็นเรื่องดี การมีผู้ช่วยนั้นมีประโยชน์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว คุณก็ยังคงต้องเป็นคนคุมทิศทาง (ของการคิดและการเรียนรู้) อยู่ดี" ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าบทบาทหลักของการเรียนรู้ยังคงต้องอยู่ที่ตัวนักศึกษาเอง ไม่ใช่เครื่องจักร
- โอกาสในการใช้ AI อย่างสร้างสรรค์
แม้จะมีภัยคุกคาม แต่ผู้เชี่ยวชาญและองค์การสหประชาชาติ (UN) ก็เน้นย้ำว่า AI เป็น "หุ้นส่วนและตัวเร่งปฏิกิริยา" ที่หากใช้โดยมีจริยธรรมจะสามารถพัฒนาการศึกษาได้ ดังนี้
การเรียนรู้ส่วนบุคคล (Personalized Learning) : AI ช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ปรับให้เหมาะกับความเร็วและช่องว่างความรู้ของผู้เรียนแต่ละคน
การเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์ : ครูต้องสอนให้นักเรียนใช้ AI อย่าง ชาญฉลาด และ มีวิจารณญาณ โดยการส่งเสริมการตั้งคำถามที่แม่นยำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น, ตรวจสอบความถูกต้อง ของข้อมูลที่ AI สร้างขึ้น (Fact Check) เพื่อสร้างความสงสัยเชิงสุขภาพ และใช้ AI เป็นเครื่องมือในการรวบรวมหลักฐาน สำหรับการโต้แย้งหรือการวิเคราะห์เชิงลึก
โดยสรุปแล้ว AI ไม่ได้เป็นภัยเสมอไป แต่อาจเป็นเครื่องมือการจัดการกับวิกฤตการศึกษาโลก จึงต้องอาศัยการลงทุนในการ ฝึกอบรมทั้งครูและนักเรียน ให้สามารถใช้ AI ได้อย่างมีความรับผิดชอบ โดยยังคงให้ "ความเป็นมนุษย์" และ "สิทธิมนุษยชน" เป็นศูนย์กลางของการศึกษา
#AIในวงการศึกษา #วิกฤตการศึกษา #ปักกิ่งฟอรั่ม2025 #การคิดอย่างอิสระ #นักศึกษากับAI #Chatbotในมหาวิทยาลัย #DeepSeek #ChatGPT #การศึกษาวิทยาศาสตร์ #การศึกษายุคดิจิทัล








