ลีลาชีวิต/ ทวี สุรฤทธิกุล
สังคมไทยมี “ความเอื้ออาทร” เป็นสิ่งหล่อเลี้ยง ความเอื้ออาทรนั้นคือ “หลักเมตตาธรรม” หรือความหวังดีและปรารถนาดีต่อกัน ซึ่งถ้าสังคมใดมีแล้วทุก ๆ คนก็จะมีชีวิตร่วมกันอย่าง “อยู่เย็น เป็นสุข”
ตระกูลทางพ่อและแม่ของผู้เขียนเป็นชาวนาในภาคอีสาน ทั้งพ่อและแม่เรียนจบแค่การศึกษาภาคบังคับ พ่อพอได้บวชเรียนแล้วก็เข้ามาหางานทำที่กรุงเทพฯ ในขณะที่แม่ก็มาช่วยเลี้ยงลูกของคุณตาที่แม่เรียกว่าน้าเพราะเป็นน้องคนหนึ่งของคุณยายแท้ ๆ คุณตาท่านนี้มารับราชการตำรวจในกรุงเทพฯในยุคที่ “อัศวินตำรวจครองเมือง” พ่อกับแม่ของผู้เขียนได้มาเจอกันที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผู้เขียนเกิดมาด้วยการรับอุปการะของคุณตา ที่ต่อมาท่านได้รับผู้เขียนเป็นบุตรบุญธรรมและใช้นามสกุลของท่าน (คือนามสกุล “พันธุ์สุระ” ต่อมาเมื่อผู้เขียนแต่งงานก็ได้มาตั้งนามสกุลของตัวเอง โดยนำคำว่า “สุระ” มาขึ้นต้น แล้วเอาคำว่า “ฤทธิ์” ที่มาจากชื่อของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มาเติมต่อ ร่วมกับคำว่า “กุล” เพื่อให้ดูเป็นนามสกุลตามความนิยม) ผู้เขียนมีน้องชายอีกคนที่คุณตาก็รับอุปการะเช่นกัน แต่ก็ด้วยความยากลำบากเพราะคุณตาเองก็เป็นตำรวจชั้นผู้น้อยและมีลูกอีก 4 คน แม่ของผู้เขียนจึงต้องขายที่นาอันเป็นมรดกมาช่วย จนผู้เขียนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เรื่องราวข้างต้นนี้เป็นความจดจำของผู้เขียนที่ได้บอกกับท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อท่านถามถึง “เทือกเถาเหล่ากอ” ของผู้เขียนในช่วงแรก ๆ ที่ได้ไปทำงานกับท่านที่บ้านสวนพลู เรื่องการ “ถามซอกแซก” ในรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของคนทุกคนที่ท่านอยากจะรู้จักนี้เป็นอุปนิสัยอย่างหนึ่งของท่าน ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายมาแล้วว่าน่าจะเป็น “วิทยายุทธ์” ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ชอบใช้ เพื่อแสดงความสนิทสนมคุ้นเคย และที่สำคัญคือเพื่อจะได้ “เข้าใจและวิเคราะห์ชีวิต” ซึ่งได้ทำให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็น “พหูสูต” คือรอบรู้ในทุก ๆ เรื่อง แม้แต่ในชีวิตของคนแต่ละคนที่มีรายละเอียดต่าง ๆ มากมาย ที่ได้ทำให้ท่านได้เข้าไป “นั่งอยู่ในหัวใจ” ของผู้คนเสมอมา
ส่วนตัวของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เอง ท่านก็ชอบที่จะเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับตัวท่านเองให้คนใกล้ชิดฟังเหมือนกัน อย่างเรื่องความสัมพันธ์กับท่านพ่อและท่านแม่ของท่าน ท่านก็บอกว่าท่านสนิทกับท่านแม่มาก แบบที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลูกติดแม่” นั่นแหละ ส่วนท่านพ่อเท่าที่จำความได้ ท่านพ่อเป็นคนดุจนลูก ๆ ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ แต่อาจจะเป็นด้วยหน้าที่ของท่านพ่อคือพระวรวงศ์เธอพระองค์คำรบในตอนนั้นท่านเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ต้องทำงานในสถานการณ์ที่เคร่งเครียดมหาศาล ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เคยเล่าว่าตอนนั้นท่านน่าจะอายุราว ๗ - ๘ ขวบ ได้เคยติดตามท่านพ่อไปดูการประหารชีวิตผู้ร้าย ที่ตอนนั้นเขาประหารกันที่วัดแห่งหนึ่งแถวทุ่งบางกะปิ เมื่อไปถึงวัดที่ตรงลานประหารซึ่งเป็นลานโล่งด้านหลังและมีป่าละเมาะอยู่รอบ ๆ มีการกั้นคนให้อยู่ห่าง ๆ ซึ่งก็มีคนมาล้อมดูอยู่จำนวนมาก แม้แต่บนต้นไม้ในป่าละเมาะก็มีคนทั้งผู้ใหญ่และเด็กปีนขึ้นไปหาที่มองดูการประหารอยู่ด้วย พิธีประหารเป็นไปอย่างตื่นเต้นระทึกใจ มีเพชรฆาตสองคนใส่ชุดสีแดง ถือดาบในมือข้างหนึ่งร่ายรำไปรอบ ๆ นักโทษที่นั่งคุกเข่ากับพื้นที่รองด้วยเสื่ออะไรสักอย่าง มีเชือกพันรอบตัวแน่น หัวถูกคลุมด้วยถุงผ้าสีมอ ๆ เสียงกลองและปี่ดังโหยหวน คนดูฟังเคลิ้มไปนาน ๆ ก็มาสะดุ้งตอนที่เพชฌฆาตคนแรกฟันฉับ นักโทษแค่คอพับและเลือดพุ่งกระฉูด เพชฌฆาตคนที่สองก็เข้าจับศีรษะแล้วใช้ดาบเชือดให้ขาดออกจากคอ คนที่ดูอยู่ห่าง ๆ นั่นเป็นลมล้มพับไปหลายคน แม้แต่คนบนต้นไม้ก็มีที่เป็นลมจนพลัดหล่นลงมา และคงจะหลายคนเพราะมีเสียงดังตุ้บ ๆ หลายครั้ง นั่นคือคำบอกเล่าของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อย่างละเอียด ซึ่งก็คงเป็นด้วยภาพที่ท่านจำได้ติดตาตั้งแต่ในวัยเด็กนั้น
สำหรับท่านแม่นั้นเป็น “อดีตชาววัง” ท่านแม่เป็นคนในสกุลบุนนาค ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางที่ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ มีความสนิทชิดเชื้อกับพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีเป็นอย่างยิ่ง ตามธรรมเนียมของขุนนางในสมัยนั้น ถ้ามีลูกชายก็จะให้รับราชการเป็นขุนนางสืบต่อ แต่ถ้ามีลูกสาวก็จะให้เข้าไปถวายตัวในวัง อย่างน้อยก็ไปเป็น “บาทบริจา” คอยรับใช้พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ จนถึงไปเป็น “เจ้าจอมหม่อมห้าม” คือพระชายาของพระมหากษัตริย์ ส่วนบาทบริจาหลายคนเมื่อายุถึงคราวจะออกเรือนได้แล้ว ก็จะมีพวกขุนนางหนุ่ม ๆ นั้นให้ผู้ใหญ่ไปถวายกราบขอพระราชานุญาติให้ออกมาแต่งงานเป็นภรรยา ดังเช่นท่านแม่ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ได้กราบถวายบังคมลา ออกมาเป็นภรรยาให้กับพระองค์เจ้าคำรบนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าท่านแม่จะออกมามีครอบครัวอยู่ข้างนอกแล้ว แต่ท่านก็ยังกลับเข้าไปในวังหลวงเพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อนชาววัง รวมถึงเจ้านายบางพระองค์ที่ยังติดต่อกันอยู่นั้นด้วย จนถึงขั้นที่ไปช่วยงานในวังเป็นครั้งคราว อย่างในช่วงที่ตั้งท้องท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็มีช่วงที่มีงานพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ท่านแม่ก็ยังต้องเข้าวังเพื่อช่วยเตรียมงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นพระราชพิธีสำคัญอันยิ่งใหญ่ ต้องใช้คนช่วยในการต่าง ๆ จำนวนมาก พอผ่านพ้นพระราชพิธีพระบรมศพแล้ว ท่านแม่ก็ท้องแก่และมีกำหนดต้องตามท่านพ่อซึ่งไปรับราชการเป็นแม่ทัพภาคเหนือที่พิษณุโลกอยู่ก่อนนั้นแล้ว โดยขบวนเรือของท่านแม่ได้เดินางมาจอดพักที่หน้าวัดบางปูน ตำบลชีน้ำร้าย อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ในคำวันที่ 19 เมษายน 2454 ครั้นพอรุ่งเช้าเด็กชายคึกฤทธิ์ก็ออกมาลืมตาดูโลก ท่านแม่เล่าให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ฟังว่า จำตอนที่คลอดได้แม่นเพราะมีเสียงวงปี่พาทย์ทำเพลงสาธุการ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “เพลงรับพระ” ขึ้นมาในตอนที่คลอดนั้น ซึ่งทราบต่อมาภายหลังว่าที่วัดบางปูนมีงานเผาศพเมื่อบ่ายวันก่อน และพอตอนเช้าก็มีการทำบุญเก็บกระดูกและเลี้ยงพระ คนตายคงจะมีหน้าตาพอสมควรจึงได้มีระนาดราดตะโพนมาบรรเลงในพิธีเก็บกระดูกและเลี้ยงพระนั้นด้วย
“รายละเอียดยิบย่อยของชีวิต” เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ชอบใช้มาก ดังสิ่งท่านพูดถึงผู้คนและสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่นในเรื่องของท่านพ่อและท่านแม่ ที่ท่านได้นำมาเล่าในโอกาสต่าง ๆ อยู่เสมอ และถ้าใครสังเกต “ความละเอียด” ในเรื่องเหล่านี้ ก็จะพบว่ามีอยู่ในทุก ๆ สิ่งที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ทำ และที่จะพบเห็นได้มากที่สุดก็คือในงานเขียนของท่าน โดยเฉพาะนวนิยายเรื่องต่าง ๆ ที่ “กินใจ” ผู้อ่านเป็นอย่างยิ่ง ก็เป็นเพราะด้วยลีลาการเขียนแบบ “ลงลึกในรายละเอียด” ที่หาคนเปรียบได้อยาก โดยเฉพาะ “รายละเอียดในทุกซอกมุม” ของชีวิตผู้คน จนทำให้ท่านได้ชื่อว่าเขียนจนได้อารมณ์ถึงขั้น “ไปนั่งอยู่ในหัวใจ” ของคนอ่านทุกคนนั้น
ผู้เขียนเคยถามท่านว่า ท่านทำได้อย่างไรที่เขียนหนังสือจนถึงขั้น “เข้าไปนั่งในหัวใจของผู้อ่าน” ได้นั้น ท่านก็ตอบออกมาอย่างเปิดเผยว่า ท่านมองมนุษย์ทุกชีวิตด้วย “ความเมตตา” หรืออยากให้ทุกคนมีความสุข ท่านจึงเห็นว่าคนทุกคนนั้นมีชีวิตที่มีคุณค่า “มีความสำคัญ” ทุกคน ซึ่งความเมตตานี้แสดงออกได้ด้วยการปฏิบัติต่อกันแบบ “เอื้ออาทร” คือมีความหวังดีและปรารถนาดี อยากช่วยเหลือหรือทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น
ผู้เขียนมานึกย้อนหลังตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักและพูดคุยกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ แล้วมองกลับเข้าไปในสังคมไทยและสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นในบ้านเมืองนี้ จึงได้พบว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์พูดถึง “ความเมตตา” หรือ “ความเอื้ออาทร” นี้เอง ที่ทำให้สังคมไทยเรามีความสุขความเจริญเสมอมา
บางทีเมื่อเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วรำลึกถึง “บรรพชน” ที่อยู่บนท้องฟ้า ก็ต้องกราบขอบพระคุณทุกท่าน(และทุกพระองค์) ที่ได้สร้างสังคมไทยนี้มา ด้วย “ความเอื้ออาทร” อันมิอาจลืมเลือนได้








