วันที่ 7 พ.ย. 2568 ที่ห้องประชุมเตมียเวส โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ นำบรรยายโครงการฝึกอบรมพัฒนาความรู้ด้านกฎหมายระดับอาเซียน โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (ALSA RPCA) ประจำปีการศึกษา 2568-2569 ในหัวข้อ “อำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติงานการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ หลักสิทธิมนุษยชน“ แก่นักเรียนนายร้อยตำรวจ คณะอาจารย์ นิสิต และนักศึกษาจากสถาบันต่างๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
นายพีระพันธุ์ได้กล่าวเปรียบเทียบกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาว่า รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาคือกรอบที่มีไว้คุ้มครองและปกป้องประชาชนจากกฎหมายทุกฉบับที่ออกโดยรัฐ แต่ในประเทศไทยรัฐธรรมนูญกลายเป็นเรื่องการเมือง เรื่องการเลือกตั้ง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วรัฐธรรมนูญควรจะต้องทำให้เป็นกฎหมายของประชาชน ความแตกต่างของรัฐธรรมนูญไทยและสหรัฐอเมริกาคือคำว่า Due Process of Law หรือ หลักนิติธรรม ซึ่งในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา นอกจากจะหมายถึงการใช้กฎหมายอย่างถูกต้องเป็นธรรมแล้ว ยังรวมถึงการออกกฎหมายที่เป็นธรรมด้วย และถ้ารัฐบาลออกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่มีความยุติธรรม ประชาชนก็สามารถโต้แย้งได้
นายพีระพันธุ์กล่าวต่อถึงบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า หากเปรียบเทียบกับรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา คำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คือคำว่า “Reasonable Cause” หรือ เหตุอันสมควร หมายถึง เหตุผลหรือพฤติการณ์ที่ทำให้เชื่อได้ในระดับหนึ่งว่าอาจมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แต่ยังไม่เพียงพอที่จะดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ ตำรวจสามารถเพียงแค่หยุดยั้ง ตรวจสอบ หรือซักถามบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น และคำว่า “Probable Cause” หรือ เหตุอันควรเชื่อได้ หมายถึงเหตุหรือพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักมากพอจนสามารถเชื่อได้อย่างมีเหตุผลว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริง และบุคคลนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ในกรณีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีอำนาจในการจับกุมหรือควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปดำเนินการสอบสวนได้ต่อไป ทั้งสองคำนี้มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “พอสมควรแก่เหตุ” ที่ใช้ในกฎหมายไทย แต่ในระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกามีการกำหนดแยกอย่างชัดเจน และส่งผลโดยตรงต่อขอบเขตอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่าความแตกต่างของทั้งสองคำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในสหรัฐอเมริกา เพราะหากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักการดังกล่าวจะถือว่าผิดหลักรัฐธรรมนูญทันที แม้ผู้ถูกจับจะเป็นผู้กระทำผิดจริง แต่หากกระบวนการจับกุมหรือสืบสวนไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ศาลก็จะไม่รับฟ้อง หรือยกฟ้องคดีนั้นโดยสิ้นเชิง หลักการนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มงวดของกระบวนการยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นอันดับแรก ในทางกลับกันระบบกฎหมายของประเทศไทยยังคงยึดถือหลักว่า “สิทธิของประชาชนมีได้ตามที่กฎหมายบัญญัติ” กล่าวคือ หากกฎหมายไม่ได้ระบุไว้ ประชาชนจะไม่สามารถอ้างสิทธินั้นได้ ซึ่งแตกต่างจากหลักการของสหรัฐอเมริกาที่ถือว่าสิทธิเสรีภาพมีอยู่โดยกำเนิดและกฎหมายมีหน้าที่เพียงควบคุมไม่ให้การใช้สิทธินั้นละเมิดผู้อื่น ดังนั้นหลักการเหล่านี้จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้เหตุผลและหลักนิติธรรมในการจำกัดอำนาจรัฐ โดยเฉพาะในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรศึกษาและนำมาปรับใช้ในประเทศไทย เพื่อให้การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐอยู่บนพื้นฐานของความชอบธรรม โปร่งใส และเคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง
นายพีระพันธุ์กล่าวว่าสำหรับประเทศไทย อำนาจและหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่อยู่ภายใต้กฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดกระบวนการและบทลงโทษของผู้กระทำผิด แตกต่างจากสหรัฐอเมริกาที่อำนาจของตำรวจถูกวางอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญโดยตรง ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจในประเทศไทยจึงมักให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลัก เพราะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีและการกำหนดโทษของผู้กระทำผิด ทำให้ในทางปฏิบัติ ตำรวจไทยมักให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมาย มากกว่าการพิจารณาในมิติของสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับการตีความหรือพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญยังไม่ถูกให้ความสำคัญเท่าที่ควร ต่างจากในต่างประเทศที่เจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะตำรวจจะต้องเข้าใจทั้งหลักรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนควบคู่กัน เพื่อไม่ให้การใช้อำนาจละเมิดสิทธิของประชาชน ซึ่งยังไม่ค่อยมีการสอนให้เข้าใจประเด็นเหล่านี้ และเป็นสิ่งที่ควรได้รับการปรับปรุงในอนาคต
ในช่วงท้ายของการบรรยาย นายพีระพันธุ์ได้กล่าวให้ข้อคิดกับผู้เข้าร่วมฟังว่าไม่ว่าจะเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ นักศึกษานิติศาสตร์ หรือคนที่กำลังศึกษาอยู่ในสายกฎหมาย ทุกคนต่างมีเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่มาจากรากฐานเดียวกันคือกฎหมาย ซึ่งเปรียบเสมือนมีดที่มีคมสองด้าน หากใช้กฎหมายในทางที่ถูกต้อง ย่อมเกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม แต่หากใช้ในทางที่ผิด กฎหมายก็อาจกลายเป็นอันตรายต่อประเทศชาติและสุจริตชนได้ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้กฎหมายในทิศทางใด
“นักเรียนนายร้อยตำรวจย่อมมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่และตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องระลึกไว้เสมอก็คือการเติบโตนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและเป็นธรรมต่อสังคมและประชาชน ทุกคนต้องตระหนักว่าหน้าที่ของเราคือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดังนั้นอำนาจและหน้าที่ของทุกคนมีไว้เพื่อปกป้องคนดี คุ้มครองความยุติธรรม แม้บางครั้งการยืนอยู่บนความถูกต้องอาจทำให้เส้นทางความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไม่ราบรื่น แต่ก็เป็นทางที่ควรเลือกเดิน” นายพีระพันธุ์กล่าว
นายพีระพันธุ์ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การเรียนนายร้อยตำรวจไม่ได้เรียนเพื่อเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เพราะตำแหน่งหน้าที่นั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแต่ละคน แต่สิ่งที่ทุกคนทำได้และควรยึดถือไว้ คือการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ซื่อสัตย์ ยึดมั่นในความถูกต้อง เช่นเดียวกับนักศึกษากฎหมาย หากผู้ที่อยู่ในกระบวนการนี้ใช้กฎหมายในทางที่ผิด หรือใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม สังคมก็จะไม่อาจดำรงอยู่ได้ และเมื่อปัญหานี้ขยายออกไป ย่อมก่อให้เกิดความปั่นป่วนและความขัดแย้งในสังคม







