ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในสังคมไทยตอนนี้เหมือนถกเถียงกันว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ฝ่ายหนึ่งระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ไม่สูบบุหรี่ เป็นอันตรายต่อเด็กและเยาวชน จึงสมควรที่จะถูกแบนต่อไป ขณะที่อีกฝ่ายกลับมองว่าเป็นเพราะมาตรการแบนที่มีมาอย่างยาวนาน ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมา และแม้บุหรี่ไฟฟ้าจะเป็นอันตรายแต่ก็มีความเสี่ยงน้อยกว่าบุหรี่มวน จึงทำให้ผู้สูบบุหรี่หันมาพึ่งพาบุหรี่ไฟฟ้าในการรับนิโคตินเข้าสู่ร่างกาย การมองปัญหาในสองมุมที่ต่างกัน ทำให้เกิดการถกเถียงในสังคมว่าทิศทางควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าของไทยควรไปทางไหนกันแน่
หากมองกันตามช่วงเวลาจะพบว่า การแบนบุหรี่ไฟฟ้าของไทยมีมาเกิน 10 ปีแล้ว ซึ่งมาตั้งแต่ช่วงที่บุหรี่ไฟฟ้ายังไม่เป็นที่แพร่หลายนัก เมื่อเวลาผ่านไป พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ทำให้นโยบายที่มีอยู่ไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป จึงทำให้ภาพที่ออกมาผิดเพี้ยน บิดเบี้ยวไม่เป็นตามที่คาดหวังไว้ ทั้งจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รูปแบบและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่ยากจะควบคุม การลักลอบนำเข้า ผลิต และจำหน่าย จนเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ๆ รวมถึงปัญหาสุขภาพที่มาจากการบริโภคของเถื่อนที่ไม่มีการตรวจสอบคุณภาพด้วย
ข้อมูลที่เปิดเผยโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เกี่ยวกับจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยพบว่า จากปี 2564 ถึง 2567 เพียง 4 ปี มีการเติบโตถึง 11.4 เท่า ภายใต้สภาวะการ “ห้ามปราม” อย่างสมบูรณ์ของรัฐบาลไทย เป็นสัญญาณเตือนภัยที่มิอาจมองข้ามได้ และเป็นเครื่องยืนยันถึงความล้มเหลวเชิงนโยบายอย่างชัดเจน การแบนไม่ได้ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าหายไปจากสังคม แต่กลับผลักดันให้การซื้อขายเข้าสู่ช่องทางที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นช่องทางที่รัฐสูญเสียทั้งอำนาจในการกำกับดูแล และโอกาสในการจัดเก็บภาษีเพื่อนำมาพัฒนาเศรษฐกิจและระบบสาธารณสุขของประเทศ
คำถามสำคัญที่รัฐบาลต้องหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนคือ กฎหมายที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อปกป้องสุขภาพประชาชน กลับส่งผลด้านลบจนยากจะควบคุมนี้ ยังเป็นแนวทางที่เหมาะสมและควรจะคงไว้อยู่หรือไม่?
ขณะที่ประเทศไทยยังคงยืนยันในมาตรการห้ามอย่างเบ็ดเสร็จ แต่เวทีโลกกลับมีทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันมีถึง 91 ประเทศทั่วโลก ที่ได้เลือกที่จะ “ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายและควบคุม” ภายใต้กรอบกฎหมายที่เข้มงวด ประเทศเหล่านั้น ซึ่งรวมถึงประเทศพัฒนาแล้วในยุโรปและเอเชีย ได้พิจารณาอย่างรอบด้านบนพื้นฐานของ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงประจักษ์ที่บ่งชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าบุหรี่มวน และสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้ผู้สูบบุหรี่เลิกพฤติกรรมเสี่ยงได้
การตัดสินใจของ 91 ประเทศเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความประมาท แต่มาจากการยอมรับหลักการที่ว่า การควบคุมดีกว่าการห้ามปรามที่ล้มเหลว การกำกับดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้รัฐสามารถควบคุมองค์ประกอบของสารนิโคติน กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ จำกัดการเข้าถึงของเยาวชน และลดปัญหาทางสังคมได้
ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องละทิ้งอคติ และเปิดใจรับฟังข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ เพื่อพิจารณาทบทวนนโยบายการห้ามปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่พิสูจน์แล้วว่าไร้ประสิทธิภาพ และเปลี่ยนไปสู่นโยบายที่มุ่งเน้นการควบคุมอย่างเข้มงวดภายใต้กรอบกฎหมาย ตามทิศทางของนานาประเทศที่ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างชาญฉลาด
ประเทศไทยกำลังเดินหลงทางหรือไม่? คำตอบอยู่ที่การตัดสินใจของผู้กำหนดนโยบายในวันนี้ ว่าจะเลือกเผชิญหน้ากับความจริงเชิงประจักษ์ หรือจะปล่อยให้คนไทยเผชิญกับความบิดเบี้ยวของสังคมจากนโยบายที่ล้าหลังต่อไป
#บุหรี่ไฟฟ้า #นโยบายสาธารณะ








