วันที่ 7 พ.ย.2568 จากกรณี ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เปิดเผยกรณีเด็กหญิงไทยวัย 12 ปี ถูกแม่หลอกทำงานร้านนวดแฝงบริการทางเพศในโตเกียว ในประเทศญี่ปุ่น ตนได้มอบหมายให้กองคดีการค้ามนุษย์ ดำเนินการรับไว้สืบสวน เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานและขยายผลดูเรื่องการกระทำความผิด " ฐานค้ามนุษย์ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม" เพื่อจะได้เสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณาอนุมัติให้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ต่อไป แต่ระหว่างนี้ที่เป็นการสืบสวน ดีเอสไอจะได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน ได้แก่ นายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขาฯ รมว.พม. เจ้าหน้าที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เครือข่ายทีมงาน มูลนิธิสมาคม NGO ในประเทศญี่ปุ่น เพื่อดูข้อมูลพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการจะพิจารณาฐานความผิดค้ามนุษย์นั้น ดีเอสไอจะต้องสืบสวนก่อนว่ามีการค้ามนุษย์หรือไม่ เช่น มีลักษณะการเป็นธุระจัดหาหรือไม่ เพราะต้องขยายประเด็นว่าแม่ของเด็กมีเจตนาจะนำลูกสาวไปค้าประเวณีเด็กหรือไม่ และดำเนินการเพียงคนเดียว หรือมีการสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดค้ามนุษย์หรือไม่ ซึ่งดีเอสไอจะไม่เจาะจงแค่ในส่วนของแม่เด็กเท่านั้น แต่เราจะดูบริบทภาพรวมทั้งหมด และมีการได้รับเงินจากการนำเอาเด็กไปค้าประเวณีหรือไม่
นอกจากนี้ ในส่วนของการสอบถามข้อมูลจากเด็กหญิง ด้วยความที่ผู้เสียหายเป็นเด็กวัยเพียง 12 ปี หากหน่วยงานในพื้นที่ได้มีการสอบปากคำตามกระบวนการเรียบร้อยแล้ว และบันทึกผลการสอบปากคำครบถ้วนทุกประเด็น ดีเอสไอก็ไม่มีความจำเป็นต้องสอบปากคำเด็กซ้ำสอง ทั้งนี้ เมื่อมีความชัดเจนในส่วนของคำให้การ พยานหลักฐานบ่งชี้ถึงการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์แล้ว ก็จะได้เสนออธิบดีฯ รับเป็นคดีพิเศษ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนออกหมายเรียกผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหาการกระทำความผิดตามลำดับต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขอแจ้งให้ประชาชนทราบว่า การเป็นธุระจัดหาหรือนำเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาค้าประเวณีหรือให้บริการทางเพศ ไม่ว่าเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม เป็นความผิดฐานค้ามนุษย์ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงสุดถึง 20 ปี








