การศึกษา

ผนึกพลัง วิจัยสมุนไพรไทยสู่เวชสำอางโลก จุดประกายความร่วมมือไทย–เกาหลี สร้างมูลค่าใหม่อุตสาหกรรม

แชร์ข่าว

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) โดยวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOA) กับ มูลนิธิความร่วมมือทางวิชาการและอุตสาหกรรม ของมหาวิทยาลัยเดกูฮันนี (Daegu Haany UniversityIndustry–Academic Cooperation Foundation: DHU IACF) สาธารณรัฐเกาหลี เพื่อดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเครื่องสำอางสมุนไพรไทย ภายใต้ชื่อ “Efficacy Evaluation and Product Development of Thai Traditional Ingredients for Functional Cosmetics” เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องสัจจา 1 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.ภก.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนสมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรขององค์การสหประชาชาติ เป็นผู้แทนฝ่าย DPU พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ คัง จี วุง (Prof. Kang Ji Woong) ประธาน และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ยัง-อา จาง (Asst.Prof.Young-Ah Jang) รองประธาน มูลนิธิความร่วมมือทางวิชาการและอุตสาหกรรม ของ Daegu HaanyUniversity สาธารณรัฐเกาหลี เป็นผู้แทนฝ่าย DHU ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและยกระดับศักยภาพสมุนไพรไทยสู่การสร้างนวัตกรรมเครื่องสำอางในรูปแบบเวชสำอาง โดยผสานภูมิปัญญาสมุนไพรไทยเข้ากับเทคโนโลยีวิจัยสมัยใหม่ของเกาหลี ให้เกิดผลิตภัณฑ์เวชสำอางสมุนไพรไทยที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลอย่างยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร.ภก.สุรพจน์ เปิดเผยว่า โครงการนี้อยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือของรัฐบาลเกาหลีใต้ ผ่านเครือข่าย K-Med Chemical Korean & Dutch AMET MED Network ซึ่งได้รับงบประมาณสนับสนุนการวิจัยกว่า 70 ล้านวอนในช่วงระยะเวลา 10 ปี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านสมุนไพร ยา และเครื่องสำอางสมุนไพรในระดับนานาชาติ โดยมีเป้าหมายในการสร้างเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานวิจัย และภาคอุตสาหกรรมจากหลายประเทศ ทั้งในเอเชียและยุโรป เช่น ตุรกี และเนเธอร์แลนด์เพื่อผลักดันให้งานวิจัยสามารถต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์ได้จริง

“การเข้าร่วมเครือข่ายนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญของ DPU ที่จะได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของเกาหลี ทำให้งานวิจัยสมุนไพรไทยของเรามีโอกาสพัฒนาไปถึงขั้นผลิตภัณฑ์ที่สามารถ ‘launch’ สู่ตลาดได้จริง”คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU กล่าว

ทั้งนี้ก่อนการลงนามอย่างเป็นทางการ DPU ได้เริ่มดำเนินโครงการ“การวิจัยและพัฒนาเวชสำอางสมุนไพรจากตำรับยาห้ารากของไทย” ซึ่งเป็นโครงการแรกภายใต้ความร่วมมือกับ Daegu Haany University โดยมีเป้าหมายจะต่อยอดไปสู่โครงการวิจัยอื่น ๆ ในอนาคต เช่น การพัฒนาเครื่องสำอางสมุนไพรเพื่อผิวพรรณและเส้นผม โดย DPU ได้ส่งสารสกัด “ยาห้าราก” ให้ DHUทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพในหลายด้าน เช่น ฤทธิ์ต้านอาการแพ้สำหรับผิวหนัง, ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory), บำรุงผิวพรรณโดยการกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ (Cell regeneration) ผลการทดสอบเบื้องต้นพบว่าสารสกัดมีประสิทธิภาพสูงและมีศักยภาพในการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางคุณภาพระดับโลก

รองศาสตราจารย์ ดร.ภก.สุรพจน์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “ยาห้าราก” เป็นตำรับยาแผนไทยที่มีสรรพคุณแก้ไข้ ล้างพิษ แก้ผื่นคันและปรับสมดุลของร่างกาย บรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติมีสรรพคุณบรรเทาอาการไข้ ซึ่งเป็นสมุนไพรเมื่อผสมกันจะเกิดฤทธิ์เสริมกัน (Synergistic effect) ที่ช่วยลดอาการอักเสบ ลดไข้ และฟื้นฟูสมดุลของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทีมวิจัยวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส ได้พัฒนากรรมวิธีการสกัดเฉพาะให้ได้สารสำคัญและคงคุณค่าทางชีวภาพ เหมาะสำหรับนำไปใช้ในงานวิจัยด้านผิวหนังและการสร้างนวัตกรรมเครื่องสำอางสมุนไพรที่มีสรรพคุณ หรือเรียกว่าเวชสำอาง (Cosmeceutical)

“ปัจจุบันทาง DHU ได้พัฒนา ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ 2 ชนิด คือ โลชั่นบำรุงผิว และ เอสเซนส์บำรุงผิว ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการประเมินความปลอดภัยและประสิทธิผล ก่อนนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ถือเป็นก้าวสำคัญของการขับเคลื่อนภูมิปัญญาสมุนไพรไทยด้วยเทคโนโลยีการวิจัยขั้นสูงสู่การยอมรับในระดับนานาชาติอย่างแท้จริง” คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU ระบุ

ประเทศไทยมีภูมิปัญญาสมุนไพรที่สั่งสมมายาวนาน โดยเฉพาะตำรับยาที่ใช้รักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น ภูมิแพ้ เบาหวาน ความดัน มะเร็ง ฯลฯ ซึ่ง DPU มี คลินิกแพทย์แผนไทยต้นแบบ ที่พิสูจน์ประสิทธิผลทางการรักษาได้จริงส่วนสาธารณรัฐเกาหลี มีเทคโนโลยีการวิจัยและอุตสาหกรรมเครื่องสำอางระดับโลก โดยเฉพาะการพัฒนาเวชสำอางที่มีคุณสมบัติ Anti-allergy, Anti-inflammatory, Moisturizing และ Anti-Agingสามารถผลักดันสารสกัดสมุนไพรไทยให้เข้าสู่ตลาดพรีเมียม ดังนั้นความร่วมมือครั้งนี้ไม่ได้จบที่งานวิจัย แต่จะขยายผลไปสู่การผลิตจริง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และยกระดับสมุนไพรไทยสู่การเป็น Global Brand ในที่สุด

รองศาสตราจารย์ ดร.ภก.สุรพจน์ กล่าวต่อว่า ความร่วมมือครั้งนี้ยังช่วยเสริมศักยภาพบุคลากรและนักศึกษาของ DPU โดยเฉพาะในระดับบัณฑิตศึกษา ที่จะได้ทำวิจัยร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศและต่อยอดเป็นวิทยานิพนธ์ที่มีคุณค่าทางนวัตกรรมและเชิงพาณิชย์ ขณะที่นักศึกษาระดับปริญญาตรีก็จะได้เรียนรู้เส้นทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จริง ตั้งแต่การสกัดสารจากสมุนไพร การพัฒนาวิธีวิเคราะห์และควบคุมคุณภาพ การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ ไปจนถึงการสร้างแบรนด์และวางกลยุทธ์การตลาด

นอกจากนี้ DPU ยังได้เริ่มโครงการ ปริญญาร่วม (Joint Degree) ด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางกับ Daegu Haany University รวมถึงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและอาจารย์ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทั้งในด้านการเรียนการสอนและการวิจัยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

คณบดีวิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส DPU กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบัน วิทยาลัยเฮลท์ แอนด์ เวลเนส อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดตั้ง โรงงานต้นแบบ (Pilot Plant) สำหรับการผลิตเครื่องสำอางและสารสกัดสมุนไพร เพื่อใช้เป็นฐานการวิจัย ทดลองผลิต และพัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางการผลิตนวัตกรรมสมุนไพรไทยครบวงจร ที่ครอบคลุมตั้งแต่การสกัด การทดสอบคุณภาพ ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระดับโรงงานต้นแบบ พร้อมวางแผนขยายผลสู่ระบบแฟรนไชส์คลินิกแพทย์แผนไทยต้นแบบ ที่จะเผยแพร่ภูมิปัญญาไทยไปสู่ระดับสากลต่อไป

ข่าวแนะนำ