ปรากฏการณ์ที่ผลโพลของนิด้าโพลสำรวจความนิยมใน ภาคอีสาน ชี้ว่า "ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้" ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกนายกรัฐมนตรี ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา การเมืองอีสาน กำลังถูกท้าทาย และเป็นสัญญาณเตือนภัยแก่พรรคการเมืองที่เชื่อมั่นใน ฐานเสียงเดิม มานาน
ในอดีตภาคอีสานถูกเรียกว่าเป็น "พื้นที่สีแดง" หรือฐานที่มั่นของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ แต่คะแนนกว่าร้อยละ 30 ที่เทให้กับตัวเลือก "ไม่ตัดสินใจ" พวกเขายังไม่ศรัทธาในผู้เล่นคนใดคนหนึ่งอย่างถึงที่สุด
แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับ พรรคเพื่อไทย ที่ตัวเลือกนายกรัฐมนตรี ยังคงเป็นแคนดิเดตนายกฯเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยอยู่ในระหว่างการยกเครื่องพรรคใหม่ และมีหัวหน้าพรรคคนใหม่ชื่อ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะได้เป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคด้วยหรือไม่ หรือพรรคเพื่อไทยจะมีตัวเลือกอื่นเป็นแคนดิเดตนายกฯ
คะแนน "ไม่รู้จะเลือกใคร" จึงไม่ใช่คะแนนว่างเปล่า หากแต่เป็นเป้าหมายของ ผู้นำคนใหม่ ที่มีความสามารถเหนือกว่ามาตรฐานเดิม และมีนโยบายที่ตรงจุดกับปัญหาเชิงโครงสร้างของภูมิภาค
การที่ประชาชนไม่รีบตัดสินใจเลือกใคร ณ วันนี้ เป็นการเปิดพื้นที่ให้แก่พรรคการเมืองที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง และกล้านำเสนอ นวัตกรรมทางการเมือง ใหม่ ๆ พรรคการเมืองจึงไม่สามารถใช้ยุทธศาสตร์การเมืองแบบเก่าได้อีกต่อไป ต้องหันมาลงทุนในการสร้าง ภาวะผู้นำที่แท้จริง และสร้างความเชื่อมั่นผ่านการสื่อสารที่ซื่อตรงและทันสมัย
เพราะโดยคณิตศาสตร์การเมือง ภาคอีสาน ซึ่งมีจำนวน ส.ส. มากที่สุด ยังอยู่ในภาวะ "ไม่ตัดสินใจ" เช่นนี้ ย่อมส่งผลให้การเมืองเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน คะแนนเสียงที่ยังลังเลเหล่านี้จึงจะเป็น จุดตัดสิน ผลการเลือกตั้งครั้งถัดไปอย่างแท้จริง
#การเมืองอีสาน #โพลอีสาน #ไม่รู้จะเลือกใคร #เพื่อไทย #ฐานเสียงเปลี่ยน #จุดตัดสินเลือกตั้ง








