ปลัด พม. ร่วมเวทีระดับโลก หนุนประชาคมระหว่างประเทศ พัฒนาสังคมที่ยั่งยืน ย้ำไทย มุ่งลดความยากจนด้วยเศรษฐกิจพอเพียง-จ้างงานที่มีคุณค่า-การอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงโดฮา (Doha) ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 4 ชั่วโมง) ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติกาตาร์ (The Qatar National Convention Center: QNCC) กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) มอบหมายให้ นายกันตพงศ์ รังษีสว่าง ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยการพัฒนาสังคม ครั้งที่ 2 (Second World Summit for Social Development) โดยมี นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พร้อมด้วย คณะเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการประชุมฯ
นายกันตพงศ์ กล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทย ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดระดับโลกว่าด้วยการพัฒนาสังคมครั้งที่ 2 ในโอกาสนี้ ขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อรัฐบาลรัฐกาตาร์ และองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ได้ร่วมกันจัดการประชุมครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญหลังจากการประกาศปฏิญญาโคเปนเฮเกนว่าด้วยการพัฒนาสังคม (Copenhagen Declaration on Social Development) เมื่อเกือบสามทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อให้เราได้ทบทวนความก้าวหน้า และต่ออายุพันธกิจร่วมกันในการขจัดความยากจน ส่งเสริมการจ้างงานที่มีคุณค่า และสร้างสังคมที่ยั่งยืน
สำหรับประเทศไทยตระหนักถึงความซับซ้อนของโครงสร้างทางสังคมและประชากร จึงยึดแนวทางการพัฒนาที่มี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยให้ “ครอบครัวและชุมชน” เป็นหัวใจของนโยบาย ซึ่งสอดคล้องกับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (2030 Agenda for Sustainable Development) และหลักการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ที่ประเทศไทยได้ดำเนินการผลักดันกฎหมายและนโยบายที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของคนพิการ ความเสมอภาคระหว่างเพศ และการคุ้มครองทางสังคม โดยมี “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” เป็นกรอบสำคัญในการสร้าง “ความมั่นคงของมนุษย์” ในทุกมิติ
นายกันตพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาสังคมของประเทศไทย นั้น ได้มุ่งเน้นใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) การลดความยากจน โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่มุ่งเน้นความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อความเสี่ยงทางสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศไทยได้ใช้เครื่องมือเชิงข้อมูล เช่น ระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ พม. หรือ MSO LogBook และ ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า หรือ TPMAP เพื่อระบุครัวเรือนเปราะบางและให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุด ในการช่วยลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ และบรรเทาภาระหนี้สิน 2) การส่งเสริม “การจ้างงานที่มีคุณค่า” โดยสนับสนุนเกษตรกรรมขนาดใหญ่ วิถีชีวิตชนบท และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะดิจิทัลแก่เยาวชน ผู้สูงอายุ และคนพิการ พร้อมทั้งคุ้มครองประชาชนจากการถูกหลอกลวงและการคุกคามทางออนไลน์ และ 3) การส่งเสริม “การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเท่าเทียม” ผ่านแนวคิดการพัฒนาตลอดช่วงชีวิต (Life-Course Approach) เพื่อให้ประชาชนได้รับการสนับสนุนและโอกาสตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ ซึ่งประเทศไทยได้ขยายความครอบคลุมของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสร้างกลไกการมีส่วนร่วมผ่านศูนย์ครอบครัว สภาเยาวชน และเครือข่ายการดูแลในชุมชน
“ประเทศไทยเชื่อมั่นว่า ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่แท้จริง จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับความเป็นธรรมทางสังคม ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งประเทศไทยขอยืนยันความมุ่งมั่นในความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนและครอบคลุมประชาชนทุกคนให้สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี สมคุณค่าความเป็นมนุษย์” นายกันตพงศ์ กล่าว








