“จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” พาสชั้นขึ้นคุมบังเหียน “หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่” ดูจะไม่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “พลิกโผ” เพราะชื่อนี้มีข่าวสะพัดว่า “ถูกล็อก” ไว้แล้ว แม้ที่ผ่านมา จะมีรายชื่อ “แคนดิเดต” คนอื่น ๆ เข้ามาเบียดก็ตาม
แต่เมื่อจุลพันธ์ได้รับ “ไฟเขียว” จาก “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่แม้วันนี้เจ้าตัวจะอยู่ระหว่างรับโทษที่เรือนจำคลองเปรม แต่ย่อมไม่ใช่อุปสรรคที่จะทำให้ “สัญญาณ” ขาดหายไป
พรรคเพื่อไทยมีจุลพันธ์นั่งหัวหน้าพรรคคนใหม่ ทำงานคู่กับ “แม่บ้านพรรค” คนใหม่หมาด ๆ คือ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” ที่ถูกดึงกลับมาเป็นเลขาธิการพรรคอีกรอบ เนื่องจากเมื่อปี 2563 ประเสริฐเคยนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคมาแล้ว
ดังนั้น หากจะบอกว่า การที่พรรคเพื่อไทยมีจุลพันธ์นั่งหัวหน้าพรรค และมีเลขาธิการพรรคคือประเสริฐ จะนับเป็นเรื่องฮือฮา สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองนั้นคงไม่ใช่ แต่ในขณะเดียวกัน นี่อาจเป็นการตอกย้ำว่า ณ จุดนี้ “ชินวัตร” ยังสู้ต่อ
เพราะแม้หัวหน้าพรรคคนใหม่จะไม่มีคนจากครอบครัวชินวัตร แต่อย่าลืมว่าชื่อของจุลพันธ์และประเสริฐ ล้วนผ่านความเห็นชอบทั้งจาก “ทักษิณ” และ “คุณหญิงอ้อ” (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) มาแล้ว
นอกจากนี้ ในส่วนของตำแหน่ง “กรรมการบริหารพรรค” ที่ปรากฏเป็นข่าว ยังน่าสนใจว่า หลายคนเพิ่งเป็น ส.ส. สมัยแรก หน้าใหม่ทางการเมือง ซึ่งปรากฏตัวผ่านหน้าสื่อมาบ้างแล้วในช่วงที่ “แพทองธาร ชินวัตร” นั่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา
ในมุมของอดีตนายกฯ ทักษิณเอง แน่นอนว่าเขาไม่อาจละทิ้งพรรคเพื่อไทยให้เผชิญมรสุมทางการเมือง ในยามที่ตัวเองต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำ ขณะที่แพทองธารไม่อาจ “เดินต่อ” ได้ในสนามการเมือง แต่อย่าลืมว่าการมี “พรรคการเมือง” เอาไว้ในมือ แม้จะเผชิญปัญหาเลือดไหลออกหรือความขัดแย้งบ้างก็ตาม แต่ย่อมมีประโยชน์มากกว่าการ “วางมือ” ในเวลานี้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า การวางตัวจุลพันธ์และประเสริฐเข้ามานั่งในตำแหน่ง “หลัก” ครั้งนี้ แม้เป็นความประสงค์ของทักษิณ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้ “แรงกระเพื่อม”!
เนื่องจากมีความเคลื่อนไหวจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนที่ “ไม่พอใจ” โดยบางคนระบายผ่านพื้นที่โซเชียลในลักษณะที่ว่า “ตั้งธง" กันมาแล้ว จะมาโหวตเลือกทำไม เสียเวลา หรือบางส่วนสะท้อนว่า “ไม่มีอะไรใหม่” และ “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”
ดังนั้น ช็อตการเมืองที่ต้องจับตามองกันต่อไป คือ จุลพันธ์กับประเสริฐจะสามารถ “ห้ามเลือด” ไม่ให้ ส.ส. และสมาชิกพรรคลาออกไปอยู่ “พรรคใหม่” ได้หรือไม่ เมื่อสัญญาณการยุบสภาเริ่มใกล้เข้ามา
สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย หลังจากได้ “หัวหน้า–เลขาฯ พรรค” และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จึงยังไม่สามารถการันตีได้ว่า ความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นในพรรค ระหว่างกลุ่มการเมืองที่อยู่ใกล้กับ “ศูนย์กลางอำนาจ” กับกลุ่มที่อยู่ห่างออกไป หรือแม้แต่ “แกนนำพรรค” ที่รอให้การเลือกหัวหน้าพรรคเสร็จสิ้นลงก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจออกจากพรรค จะไม่เกิดขึ้นอีก เพียงแต่จะมีมากหรือน้อยเท่านั้น !








