คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ/ ดร. วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
แทบไม่น่าเชื่อที่ถึงแม้ว่าประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาจะมีพรรคการเมืองยักษ์ใหญ่เพียงแค่ 2 พรรค ซึ่งก็คือ “พรรครีพับลิกัน” และ “พรรคเดโมแครต” ที่ทั้งสองพรรคต่างก็ทราบและตระหนักเป็นอย่างดีว่า การจัดสรรงบประมาณของประเทศเป็นเรื่องใหญ่ก็ตาม แต่กลับปรากฏให้เห็นว่าทั้งสองพรรคมีความคิดเห็นต่างมุมในด้านการบริหารจัดการงบประมาณ
โดยนักการเมืองของพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม สมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ ๆ และเป็นกลุ่มของผู้มีรายได้สูง จึงมักจะไม่ค่อยเห็นความสำคัญในการใช้ชีวิตของผู้คนระดับรากหญ้า ส่วนนักการเมืองของพรรคเดโมแครต ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวผิวสีที่มาจากหลากหลายเชื้อชาติ มีหัวก้าวหน้า สมาชิกส่วนใหญ่จึงมีเป้าหมายมุ่งเน้นที่จะรับใช้แก่ ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ และ ผู้ที่มีรายได้ต่ำ
อย่างไรก็ตามที่ผ่าน ๆ มาในทุก ๆ ปีจะเห็นได้ว่า บรรดานักการเมืองของทั้งสองพรรคที่นั่งดำรงตำแหน่งอยู่ในรัฐสภา มักจะเกิดปัญหาในด้านการจัดงบประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นเอาบรรทัดฐานในเรื่องความต้องการของฐานเสียงในพรรคตนเป็นที่ตั้ง!! และเมื่อใดก็ตามที่ทั้งสองพรรคเจอทางตันไม่พบเห็นทางออกที่ดีในด้านการจัดสรรงบประมาณ จนทำให้ไม่สามารถปิดร่างงบประมาณได้ แน่นอนว่าจะมีผลทำให้รัฐบาลต้องสั่งปิดหน่วยงานบริการประชาชน ที่เรียกสถานการณ์นั้นว่า “ชัตดาวน์” จนสร้างความกระทบกระเทือนให้กับประชาชนคนอเมริกันและต่อสังคมอย่างกว้างขวาง
นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 เป็นต้นมา หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกสั่งปิดจนเป็นผลให้ลูกจ้างรัฐบาลกลางกว่า 750,000 คนต้องถูกลอยแพ เผชิญกับความเดือดร้อนอย่างรุนแรง สืบเนื่องมาจากรัฐบาลไม่มีเงินจ่ายให้แก่พวกเขา โดยนักการเมืองในวุฒิสภา และ นักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งสภาผู้แทนราษฎร ทั้งในค่ายพรรคเดโมแครต และในค่ายพรรครีพับลิกัน พยายามที่จะแก้ไขปัญหาการชัตดาวน์ โดยพวกเขาเร่งประชุมแทบทุกวัน เพื่อเรียกร้องต่อวุฒิสมาชิกในวุฒิสภา และต่อ ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลับปรากฏว่าไม่สามารถตกลงให้ผ่านทางตันในครั้งนี้ได้เลย โดยขณะนี้พรรครีพับลิกัน ซึ่งมีวุฒิสมาชิก 53 เสียง และพรรคเดโมแครตมีวุฒิสมาชิกอยู่ที่ 47 เสียง ดังนั้นเป็นการยากอย่างยิ่งที่จะได้รับเสียง 60 เสียง เพื่อให้มีการเปิดหน่วยงานบริการของรัฐบาลกลาง!!!
ที่ผ่านมานักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตออกมากล่าวยืนกรานอย่างหนักแน่นตลอดเวลาว่า “หากนักการเมืองของพรรครีพับลิกันไม่ยอมรับข้อเสนอให้มีการต่อโปรแกรมสวัสดิการสุขภาพ หรือที่เรียกกันว่า “โอบามาแคร์” ซึ่งถือเป็นผลงานดีเด่นชิ้นโบว์แดงของ “อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา” ที่มอบโอกาสให้แก่คนรายได้น้อยได้เข้ารับการรักษาพยาบาลกันอย่างทั่วถึง แต่กลับถูกพรรครีพับลิกันดิสเครดิตต่อต้านอย่างแข็งขัน และเนื่องจากค่ายพรรครีพับลิกันมิยอมประนีประนอมในเรื่องนี้ จึงมีผลทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่าการชัตดาวน์ในครั้งนี้จะจบลงเมื่อใด? แถม “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ยังแสดงอาการไม่รู้ร้อนรู้หนาวนิ่งเฉย ทั้ง ๆ ที่นักการเมืองในค่ายพรรครีพับลิกันเดียวกันกับตัวเขาเอง ออกมาเรียกร้องให้เขาเข้าไปมีบทบาทร่วมในการเจรจาต่อรองกับนักการเมืองของพรรคเดโมแครตก็ตามที
ในเมื่อขณะนี้ปัญหาด้านการชัตดาวน์ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่กระทบต่อสังคมและสร้างความกระทบกระเทือนต่อพนักงานของรัฐบาลกลางไปแล้วอย่างกว้างขวาง แถมยังไม่แน่เลยว่าปัญหานี้จะได้รับการแก้ไขเมื่อไหร่?
ยกตัวอย่างในกรณีของพนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ ซึ่งปรากฏว่าขณะนี้เกิดการขาดแคลนพนักงาน จนเป็นผลทำให้การบินของบรรดาสายการบินต่าง ๆ ต้องพบเจอกับความล่าช้า นอกจากนั้นก็ยังปรากฏให้เห็นอีกว่า พนักงานด้านการควบคุมจราจรการบินเหล่านั้นที่มีกว่าห้าหมื่นคนต้องทำงาน แต่กลับยังไม่ได้รับค่าจ้างระหว่างที่มีการชัตดาวน์เกิดขึ้น สร้างความวุ่นวายเดือดร้อนกันเป็นอย่างมาก
โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2025 นี้ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ มร.ณอน ดัฟพี่” ได้ออกมากล่าวว่า “ข้าพเจ้าคาดว่า ต่อไปนี้จะมีเที่ยวบินล่าช้าเพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน สืบเนื่องมาจากการขาดแคลนบุคลากร อีกทั้งรัฐบาลยังไม่มีงบประมาณที่จะจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศอีกด้วย” โดยเฉลี่ยแล้วเงินเดือนของพนักงานควบคุมการจราจรเครื่องบินจะอยู่ระหว่างปีละ 144,580 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่เริ่มต้นจากปีละ 81,000 ดอลลาร์
นอกเหนือจากนั้นรัฐมนตรีฯ คมนาคมดัฟฟี่ยังให้ความคิดเห็นต่อไปว่า “สถาบันด้านการฝึกอบรมการจราจรทางอากาศของสำนักงานบริการการเงินแห่งชาติกำลังจะหมดงบประมาณค่าใช้จ่าย ในการจ่ายเงินให้แก่นักศึกษาควบคุมการจราจรทางอากาศภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ โดยเรื่องนี้มีผลทำให้นักศึกษาบางส่วนตัดสินใจถอนตัวไม่เรียนอีกต่อไป” (ข้อมูลข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2025 “US expects more flight delays as controllers soon to miss paychecks”)
อีกทั้ง “มร.สเตฟานี วินเดอร์” รองประธานสมาคมผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศแห่งชาติประจำเมืองซอลท์เลคซิตี้ ได้ออกมากล่าวว่า “การชัตดาวน์ปิดหน่วยงานในครั้งนี้ ทำให้บุคลากรเกิดการท้อแท้และเกิดลังเลในการที่จะยึดอาชีพด้านการควบคุมการจราจรทางอากาศนี้ต่อไป”
และยังมีเรื่องที่ฟังแล้วน่าหวาดเสียวต่อคนอเมริกันเป็นอย่างมากที่ปรากฏออกมาว่า “รัฐมนตรีฯ คลังสก๊อต เบสเสนท์” ได้ออกมาแถลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม 2025 นี้ว่า “ทหารที่ทำหน้าที่ประจำการในสถานที่ต่าง ๆ จะไม่ได้รับเงินตอบแทนในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ทั้ง ๆ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ว่า “จะหางบมาช่วยเหลือทหารประจำการแต่ก็มิได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด” (ข้อมูลจากสำนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ CBS เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 นี้)
หลังจากผ่านการชัตดาวน์ไปแล้ว 22 วัน และดูเหมือนว่ารัฐสภาประสบกับทางตันยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาครั้งนี้ได้ และจากการสำรวจของ “สำนักหยั่งเสียงมหาวิทยาลัย Quinnipiac” ซึ่งการหยั่งเสียงของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ได้ออกมารายงานผลการหยั่งเสียงครั้งล่าสุดนี้ว่า ชาวอเมริกัน 45% คิดว่า วุฒิสมาชิกของพรรครีพับลิกันที่นั่งดำรงตำแหน่งอยู่ในรัฐสภาต้องรับผิดชอบ ส่วนอีก 39% ก็คิดว่าวุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตในรัฐสภาจะต้องรับผิดชอบ ส่วนอีก 11% ของชาวอเมริกันคิดกันว่า วุฒิสมาชิกทั้งสองพรรคจะต้องรับผิดชอบ (ข้อมูลจาก Who Is More Responsible for The Government Shutdown? Quinnipiac University วันที่ 22 ตุลาคม 2025)
ส่วน “สำนักหยั่งเสียงรอยเตอร์ส” ที่ทำการหยั่งเสียงในช่วงเดียวกัน ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ชาวอเมริกันกว่า 50% ตำหนิพรรครีพับลิกันในรัฐสภา และอีก 39% ตำหนิพรรคเดโมแครตในรัฐสภา (ข้อมูลจาก The Hill: Republicans grapple with shutdown October 25, 2025)
และจากการชัตดาวน์ในครั้งนี้ ใครจะเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนกระทบกระเทือนมากที่สุด? จากการวิจัยของ “ศูนย์วิจัย Bipartisan Policy Center” เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2025 นี้เปิดเผยออกมาว่า พนักงานของรัฐบาลกลาง 670,000 คนที่ถูกลอยแพ และพนักงานของรัฐบาลกลางจำนวนกว่า 730,000 คนที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปแต่ไม่ได้รับเงินค่าตอบแทน พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนสูงมากพอ ๆ กัน!!! โดยศูนย์วิจัยแห่งนี้ยังได้ประเมินอีกว่า “หากรัฐสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาการชัตดาวน์ให้จบลงได้ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2025 นี้ ศูนย์วิจัยแห่งนี้ประเมินเอาไว้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีหนี้ค้างชำระต่อพนักงานของรัฐบาลกลางอยู่ที่ 4.5 ล้านดอลลาร์”
การที่ขณะนี้รัฐสภากำลังประสบกับทางตันในปัญหาด้านการชัตดาวน์ของรัฐบาลกลาง ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้แก่ บรรดาพนักงานซึ่งเป็นลูกจ้างของรัฐ ที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าผ่อนรถ จ่ายค่าผ่อนบ้าน และจ่ายค่าใช้จ่ายจำเป็นประจำวันต่าง ๆ จนทำให้พวกเขาต้องใช้ชีวิตประจำวันอย่างลำบาก ซึ่งจะมีผลทำให้พนักงานที่ได้รับความเดือดร้อนเหล่านั้นต้องเสียคะแนนเครดิตลงไปอีกด้วย ซึ่งในสหรัฐฯ การรักษาคะแนนเครดิตถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะต้องใช้แสดงในการหาซื้อบ้าน หรือแม้กระทั่งหาบ้านเช่า!!!
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นการจะหาทางแก้ไขปัญหาชัตดาวน์ได้เป็นผลสำเร็จ ดูเหมือนว่ามีทางออก ซึ่งอาจจะเป็นแสงสว่างเพียงน้อยนิดส่องอยู่ที่ปลายอุโมงค์ โดยบรรดาวุฒิสมาชิกในรัฐสภาสหรัฐฯ จะต้องร่วมกันจับมือหาทางออก โดย “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จะต้องเข้าไปร่วมเจรจาและเซ็นต์รับรองร่างกฎหมาย โดยต่างฝ่ายจะต้องลดทิฐิและลดอีโก้ลง เพราะหากพวกเขาไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาด้านงบประมาณให้แก่ทหารประจำการให้ลุล่วงเสร็จสิ้นลงได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ล่อแหลมต่อความมั่นคงปลอดภัยสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก และย่อมจะส่งผลกระทบในภาพลบต่อประธานาธิบดีทรัมป์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
แต่มอง ๆ ไปแล้วตราบเท่าทุกวันนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณอะไรที่จะแสดงให้เห็นว่า ทั้งสองพรรคการเมืองยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ จะหันหน้าเข้ามาปรึกษาหารือหาทางแก้ไข เพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติกันเสียทีละครับ
#ชัตดาวน์ #Shutdown #สหรัฐ #USShutdown #การเมืองสหรัฐ #รัฐบาลสหรัฐ #งบประมาณ #พนักงานรัฐ #วิกฤตการเงิน #วิกฤตเศรษฐกิจ #ข่าวต่างประเทศ #ข่าวการเมือง #โอบามาแคร์ #Obamacare #ทรัมป์ #DonaldTrump #เที่ยวบินล่าช้า #FlightDelays #คอลัมน์คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ








