ลีลาชีวิต/ ทวี สุรฤทธิกุล
พวกเราหลายคนมองว่าการเมืองเป็นเรื่อง “น่าเบื่อ” แต่ถ้าจะบอกว่าการเมืองนี้ก็คือ “ชีวิต” ถ้าเราเบื่อการเมือง ก็คือเรา “เบื่อชีวิต” นั่นเอง
ตอนที่ผู้เขียนมาทำงานกับท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในช่วงปิดเทอม พ.ศ. 2520 ท่านได้ถามผู้เขียนว่าทำไมจึงเลือกเรียนคณะรัฐศาสตร์ “ชอบการเมืองเหรอ?” ผู้เขียนตอบไปตามตรงว่า “อยากเป็นนายอำเภอ อยากไปช่วยพัฒนาชนบทที่เคยเติบโตมา” แต่พอทำงานกับท่านไปสักพักก็รู้ว่า วิชารัฐศาสตร์ไม่ใช่เรียนเพื่อไปเป็นนักปกครองของกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น แต่เป็นวิชาที่ทำให้เรารู้ว่าชีวิตคนเราทุกคนนั้นมี “คุณค่า” ยิ่งนัก นั่นก็คือ “คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ร่วมกัน” อันเป็น “หัวใจ” ของวิชารัฐศาสตร์นั่นเอง
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ได้สอนวิชารัฐศาสตร์หรือการเมืองให้กับผู้เขียนโดยตรง แต่การทำงานกับท่านได้ทำให้ผู้เขียนค่อย ๆ เรียนรู้ แบบที่เรียกว่า “ครูพักลักจำ” แต่กระนั้นก็เรียนรู้ได้ไม่มากเท่าไหร่ จนบางคนเรียกผู้เขียนว่า “ทัพพีที่ไม่รู้รสแกง” ที่แปลว่า คนบางคนแม้จะอยู่กับปราชญ์ แต่ก็สามารถเรียนรู้ได้น้อยนิด เหมือนกับทัพพีตักแกงที่อยู่กับแกงตลอดเวลา แต่หาได้รับรู้รสของแกงนั้นแต่อย่างใดไม่ ทว่า “ความรู้อันน้อยนิด” นั้น ถ้าได้นำมาปรับใช้หรือแตกขยายหน่อความคิด ก็อาจจะเป็นความรู้ที่กว้างขวางหรือพอสร้างประโยชน์ต่าง ๆ ได้พอสมควร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ที่รู้จักใช้หรือรู้เป้าหมายในการใช้ อย่างเช่นตัวผู้เขียนนี้ แม้ไม่ได้มีอาชีพเป็นนักการเมืองตามแบบของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ แต่ก็ได้นำความรู้ไปใช้ในอาชีพการเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์ ซึ่งก็ได้ใช้แบบอย่างตามแบบที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ซึ่งก็เป็น “อาจารย์ใหญ่” ทางด้านรัฐศาสตร์นี้ด้วยเช่นกัน อย่างที่ผู้คนในสมัยของท่านเรียกท่านว่า “ซือแป๋” นั่นเอง
ผู้เขียนสังเกตเห็นว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ชอบถามในเรื่อง “เทือกเถาเหล่ากอ” ของผู้คนต่าง ๆ นี่ก็คือ “วิทยายุทธ์” อันสำคัญของ “ซือแป๋แห่งซอยสวนพลู” ต่อมาเมื่อมีโอกาสก็ได้ถามท่านว่า การได้รู้เรื่องเทือกเถาเหล่ากอของผู้คนมีประโยชน์อย่างไร ท่านก็ตอบว่านี่แหละคือ “หัวใจของความเป็นไทย” เพราะสังคมไทยไทยคือสังคมของความใกล้ชิดสนิทสนม เทือกเถาเหล่ากอคือสิ่งที่แสดงความสนิทสนม คนเราถ้ามีญาติมาก ก็จะช่วยเหลือกันได้มาก สังคมไทยจึงเป็นสังคมเครือญาติ และคนไทยก็อยู่รอดมาด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน “อย่างเครือญาติ” นี้
ครั้งหนึ่งในการบรรยายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งผู้เขียนได้ติดตามไปฟังด้วย เมื่อจบการบรรยายได้มีคนถามปัญหาขึ้นมาว่า สังคมไทยแต่อดีตถือว่าพระมหากษัตริย์นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ทำไมคนไทยจึงใช้คำที่แสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก เช่น เรียกพระราชชนนีของในหลวงว่า “สมเด็จย่า” หรือเรียกในหลวงเองว่า “พ่อหลวง” อย่างนี้คนไทยก็เป็น “พระญาติ” กับพระเจ้าอยู่หัวกระนั้นหรือ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์หัวเราะแล้วตอบว่า “นั่นนะซี คนไทยก็เลยกลายเป็นทูลกระหม่อม(ลูกของพระเจ้าแผ่นดิน)ไปหมด” แล้วท่านก็บอกแก่ผู้ฟังว่า คนที่พูดแบบนี้ไม่มีผิดมีบาปอะไรหรอก แถมยังบอกว่าด้วยว่านี่คือ “หัวใจของสังคมไทย พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แม้แต่กับพระเจ้าอยู่หัว”
ตอนที่ผู้เขียนทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทของคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2527 ในชื่อเรื่องว่า “การต่อสู้ทางการเมืองของพรรคการเมืองไทย : ศึกษากรณีพรรคกิจสังคม” ได้ขอสัมภาษณ์ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกิจสังคมหลายคน สำหรับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านเล่าให้ฟังว่า คนที่มาร่วมก่อตั้งพรรคส่วนใหญ่คือคนที่รู้จักกันมานาน บางคนไม่ได้รู้จักแค่ตัวคน ๆ นั้น แต่ยังรู้จักไปถึงพ่อแม่หรือเครือญาติของเขาด้วย บางคนก็เป็นลูกศิษย์กันมาตั้งแต่ที่ท่านเป็นอาจารย์ตอนหนุ่ม ๆ การได้รู้จักการมานาน ๆ ไม่เพียงแต่เป็นความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ยังทำให้มีความไว้วางใจ และมีความสุขในการที่ได้มาทำงานร่วมกันเพื่อชาติบ้านเมืองนั้นด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบางคนเกิดมีปัญหามาปรึกษา พอพูดคุยกันเรื่อง “คนเก่า ๆ” ก็คลี่คลายปัญหาไปได้ อย่างบางทีมีปัญหาเรื่องการจัดตัวผู้สมัครลงเลือกตั้งบางคนในบางจังหวัดทางภาคเหนือ แต่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ซึ่งเคยไปทำงานเป็นผู้จัดการธนาคารที่ลำปางอยู่หลายปี มีเพื่อน ๆ และคนเก่าคนแก่ทางภาคเหนืออยู่ในหลาย ๆ จังหวัด ท่านก็ให้สอบถามคนเก่าคนแก่เหล่านั้น ก็ช่วยคัดเลือกคนให้มาเป็นผู้สมัครของพรรค รวมถึงที่ผู้มีฐานะต่าง ๆ ก็มาช่วยสนับสนุนพรรคเป็นอย่างดีด้วย
พรรคกิจสังคมเติบโตมาในลักษณะนี้ ในปี 2518 แม้จะได้ ส.ส.เพียง 18 คน แต่พอถึงเลือกตั้งปี 2519 ก็ได้เพิ่มเป็น 45 คน และในช่วง พ.ศ. 2522 - 2529 ก็ได้ ส.ส.เป็นหลักร้อย ส่วนหนึ่งก็ด้วยชื่อเสียงของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์และพรรคกิจสังคม แต่ลึก ๆ นั้นจากที่ผู้เขียนสังเกตรับรู้ได้ ก็เป็นเพราะพรรคกิจสังคมเป็นพรรคที่เน้นการสร้างสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ในเชิงเครือญาตินั้นอีกด้วย โดยเฉพาะเครือญาติในทางธุรกิจ ที่สมาชิกในยุคก่อตั้งของพรรคกิจสังคม ส่วนหนึ่งก็คือนักธุรกิจใหญ่ ๆ เช่น นายบุญชู โรจนเสถียร และนายพงส์ สารสิน เป็นต้น รวมถึงตัวท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เอง ในฐานะที่เป็น “นายแบ๊งค์” รองประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพฯพาณิชยการจำกัด ก็ได้ใช้เครือข่ายสาขาและลูกค้าของธนาคาร เข้ากับการสร้างฐานทางการเมืองในยุคแรก ๆ นั้นด้วย
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าถึงการหาเสียงในยุคแรก ๆ ตั้งแต่ที่ท่านใช้หาเสียงเมื่อคราวที่ลงเลือกตั้งตอนหลังสงครามโกลครั้งที่ 2 และสืบเนื่องมาถึงการหาเสียงของพรรคกิจสังคม ท่านบอกว่าต้อง “เข้าถึงก้นครัว” ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การ “เคาะประตูบ้าน” แบบทั่ว ๆ ไป แต่ต้องแสดงความจริงใจที่อยากจะเป็นญาติพี่น้องของเขาจริง ๆ ด้วย ไม่ใช่แค่คำพูดที่ตะโกนไปตลอดการหาเสียงว่า “สวัสดีพ่อแม่พี่น้อง...” แต่เราต้องทำให้เห็นว่าเรารักเขาเป็นคนในครอบครัวของเขาจริง ๆ อีกด้วย สิ่งที่ท่านทำเป็นประจำนั้นก็คือ “ขอข้าวกิน” คือถ้ามีโอกาสก็จะไปร่วมวงรับประทานอาหารกับผู้คนตามบ้านต่าง ๆ ที่นอกจากจะเป็นการแสงดความสนิทสนมกันได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังได้พูดคุยถึงสารทุกข์สุขดิบ เอามาเป็นข้อมูลในการหาเสียงและแก้ปัญหาให้กับผู้คนเหล่านั้นอีกด้วย ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เรียกว่า “ประชาธิปไตยถึงก้นครัว” รวมถึงเปิดเผยความจริงด้วยว่า “กับข้าวของคนไทยบ้าน ๆ นี้อร่อยกว่าที่ท่านเคยทานที่ไหน ๆ แม้แต่ในบ้านคนใหญ่คนโตหรือต้นตำรับที่ไหน ๆ” (ฮา)
เรื่องการหาเสียงแบบ “ถึงก้นครัว” นี้ ผู้เขียนได้รับรู้ด้วยตนเองและได้ทำจริง ๆ อยู่หลายครั้ง เพราะต้องติดตามท่านไปหาเสียงตามสถานที่ต่าง ๆ อยู่หลายปี ในช่วง พ.ศ. 2524 – 2528 ที่ท่านเป็นหัวหน้าพรรคกิจสังคม ครั้งหนึ่งที่ประทับใจมากและถือว่าเป็นสุดยอดของวิทยายุทธ์ก็คือ “ขอหมากกิน” เมื่อครั้งที่ไปหาเสียงในจังหวัดร้อยเอ็ด ในคราวที่พรรคกิจสังคมเลือกตั้งซ่อม โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาลงสมัครในนามหัวหน้าพรรคชาติประชาธิปไตย วันนั้นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะต้องขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ในตอนเย็น ขบวนหาเสียงของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เป็นแบบ “ค่ำไหนนอนนั่น” คืนก่อนนั้นท่านกับคณะหาเสียงก็มาพักที่วัดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เช้ามาก็มีชาวบ้านมาทำบุญเลี้ยง “จังหัน” ท่านก็ร่วมทำบุญกับชาวบ้านและร่วมรับประทานอาหารกับชาวบ้านอีกด้วย เสร็จแล้วท่านก็กระซิบผู้เขียนว่าให้ไปขอหมากจากแม่ใหญ่คนหนึ่ง(คนในภาคอิสานจะเรียกคนแก่ผู้หญิงว่า “แม่ใหญ่” และคนแก่ผู้ชายว่า “พ่อใหญ่” คือต้องเป็นระดับปู่ย่าตายายเป็นสำคัญ)มากิน และให้ถามด้วยว่าบ้านแม่ใหญ่นั้นอยู่ไหน มีนากี่ไร่ มีลูกหลานกี่คน ทำอะไรกันบ้าง แล้วอีกคำถามหนึ่งก็คือ “ใครเป็นคนดังที่สุดของหมูบ้าน ดังด้วยเรื่องอะไร”แล้วให้มาบอกกับท่านในทุกรายละเอียด ผู้เขียนก็ไปดำเนินการตามที่ท่านบอกทุกประการ จนถึงตอนเย็นที่ท่านอาจารย์ขึ้นปราศรัยใหญ่ คนมาฟังเต็มลานวัด ท่านก็เล่าเรื่องต่าง ๆ ของหมู่บ้านนั้นขึ้นมาก่อน (ซึ่งท่านก็คงจะสอบถามมาจากชาวบ้านในช่วงอาหารเช้านั่นแหละ) จากนั้นก็เอ่ยชื่อแม่ใหญ่คนที่ท่านได้ให้ผู้เขียนไปขอหมากมากิน แล้วสรรเสริญถึงลูกหลานของแม่ใหญ่คนนั้นว่าประสบความสำเร็จอะไร ก่อนที่จะพูดถึง “คนดัง” ของหมู่บ้าน ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอื้ออึงและชาวบ้านปรบมือให้อย่างกึกก้อง
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เคยพูดถึงเทคนิคนี้อีกว่า ใช้ได้ทั้งการเขียนหนังสือหรือการแสดงต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยท่านใช้คำเรียกว่า “การขุดหัวใจ” ซึ่งผู้เขียนขอนำมาเสนอในโอกาสต่อไป
เดือนนี้เป็นเดือนที่แสนเศร้าอีกครั้ง ด้วยเรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชินีพันปีหลวง ผู้เขียนขอร่วมถวายความอาลัยจากสุดหัวใจของคนไทยคนหนึ่ง ดังนี้
ปวงราษฎร์น้อมรำลึก ด้วยสำนึกพระกรุณา
พระสถิตสวรรยา ปวงประชาโศกอาลัย
ขอพระสถิตสงบ ณ สัมปรายภพวิสัย
และสถิตกลางใจไทย ตลอดไปนิรันดร์กาลฯ








