จากกรณีที่สื่อกัมพูชานำเสนอข่าวว่า หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ได้ออกเอกสารชี้แจงผลการตรวจสอบเหตุระเบิด ในพื้นที่อำเภอจอมกระสาน จังหวัดพระวิหาร ซึ่งเป็นเหตุให้เด็กชายอายุ 10 ขวบเสียชีวิต และบิดาได้รับบาดเจ็บสาหัส
โดยสาระสำคัญในเอกสารดังกล่าวระบุผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมภาพถ่ายจากจุดเกิดเหตุ สรุปว่า “วัตถุระเบิดที่ทำให้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นระเบิดแบบคลัสเตอร์ M-85 จากกระสุนแบบ M396 ซึ่งยิงมาจากปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตรของกองทัพไทย”
และอ้างว่าเป็นเศษวัตถุระเบิดที่ตกค้างจากเหตุปะทะระหว่างวันที่ 24–28 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมานั้น
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงว่า เมื่อพิจารณาเนื้อหาของเอกสารชี้แจงและภาพถ่ายที่เกิดเหตุ เปรียบเทียบกับข้อมูลทางเทคนิคของกระสุนปืนใหญ่ชนิดที่ทางกัมพูชาระบุมาในข่าว พบว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ด้วยข้อสังเกตสำคัญหลายประการ คือ
1. กองทัพบกไทยมีลูกกระสุนปืนใหญ่ลักษณะดังกล่าวจริง แต่ใช้ในลักษณะระมัดระวัง ต่อเป้าหมายที่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มั่นแข็งแรง
ใช้สำหรับการเจาะเกราะ และจะใช้กระทำต่อเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นกระสุนระเบิดทวิประสงค์ (Dual Purpose Improved Conventional Munitions – DPICM) ของปืนใหญ่ขนาด 155 มิลลิเมตร
2. โดยการทำงานของกระสุนชนิดนี้ เมื่อยิงถึงเป้าหมายที่กำหนด จะระเบิดและปล่อยลูกระเบิดย่อยแบบ M85 ออกมา ซึ่งลูกระเบิดย่อยจะทำงานและระเบิดตัวเองโดยอัตโนมัติ ไม่มีการตกค้างในพื้นที่ และไม่มีส่วนประกอบของลูกปราย (ลูกเหล็กทรงกลม) ภายในระเบิด
3. จากภาพหลักฐานที่กัมพูชาเผยแพร่ พบว่าลักษณะความเสียหายไม่สอดคล้องกับระเบิดแบบ M85
โดยภาพที่ปรากฏแสดงให้เห็นหลังคาบ้านและโอ่งน้ำมีรูพรุนจำนวนมาก รวมทั้งพบร่องรอยสะเก็ดระเบิดทั่วไป ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของระเบิดแรงสูงแบบ Shaped Charge ที่มักก่อให้เกิดการลุกไหม้หรือหลอมละลายของพื้นผิววัตถุ
ทั้งนี้ ระเบิดแบบ M85 ไม่มีคุณสมบัติสร้างสะเก็ดจำนวนมากเช่นที่ปรากฏในภาพ
จึงมีความเป็นไปได้น้อยมาก ที่ลูกระเบิดย่อยแบบ M85 จะไม่ทำงานจนกลายเป็นระเบิดตกค้าง และแม้ว่าเกิดเหตุระเบิดจากลูกระเบิดแบบ M85 จริง ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ขัดแย้งกับข้อสรุปทางนิติวิทยาศาสตร์ของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน
พลตรี วินธัย กล่าวย้ำว่า หวังว่าการนำเสนอข่าวของฝ่ายกัมพูชาจะอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและความรับผิดชอบ เพื่อไม่ให้กลายเป็นข้อมูลบิดเบือนที่อาจถูกใช้สร้างความเข้าใจผิดในสังคม เพราะการสื่อสารที่ไม่ถูกต้องย่อมส่งผลกระทบต่อกระบวนการลดความขัดแย้งที่ทั้งสองประเทศกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้








