"ฮาโลวีน: หน้าตาดี ๆ ยังทำเป็นผีเที่ยวหลอกคน
ฮาโลวีน เป็นเทศกาลประจำปีเฉลิมฉลองในหลายประเทศทุกวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายของศาสนาคริสต์ คนส่วนมากมักเรียก "วันปล่อยผี" และนิยมแต่งกายเป็นผีตามตำนานนิทานประจำท้องถิ่นหรือสากล เช่น แดรกคูลา เป็นต้น
เรื่องราวของแดรกคูลา นั้นเป็นนวนิยายภาษาอังกฤษแนวสยองขวัญที่มีชื่อเสียงที่สุดของ บราม สโตกเกอร์ เป็นเรื่องราวของแวมไพร์หรือผีดิบดูดเลือดในโรมาเนีย ที่เดินทางมาอังกฤษเพื่อเผยแพร่เผ่าพันธุ์ โดยมีฉากหลังเป็นอังกฤษที่ปกคลุมด้วยบรรยากาศอึมครึมในยุควิกตอเรีย
วันฮาโลวีนแพร่หลายไปทั่วทั้งโลก ในภาคกลางคืนบรรยากาศการกินดื่ม ผู้คนแต่งกายเลียนแบบผีตามแต่เครื่องแต่งกายที่จะให้ดูสยองกึ่งน่ารัก อยากถูกผีหลอก เล่ายาวราวกับเบียดคำพูดฝากมากับสายลม
ความเชื่อคนอุษาคเนย์เดิมนับถือศาสนาผีก่อนรับพุทธ-พราหมณ์ คริสต์ อิสลาม ร่องรอยความเชื่อเรื่องผียังคงอยู่แม้กระทั่งประเทศอินโดนีเซียที่เป็นเมืองอิสลามใหญ่ที่สุดในโลก ที่อิสลามทั่วโลกไม่มีรูปเคารพและเรื่องผี แต่ที่อินโดนีเซียมีผีพื้นเมืองอยู่ควบคู่ไปด้วยภาพจำจากการ์ตูนหรือหนังก็ดี มีเรื่องผี ๆ แทรกและรอยจำอยู่ไม่น้อย อย่างหนังไทย เช่น ระฆังผี, บ้านผีปอบ, ผีหัวขาด, เสน่ห์นางตะเคียน, ฤทธิ์น้ำมันพราย, ภูตแม่น้ำโขง, ผีกองกอย ในเรื่อง พระอภัยมณี ของสุนทรภู่ที่ปรากฏในเรื่องของ อ้ายย่องตอด ซึ่งมีลักษณะเป็นผีที่มีขาเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า ทำให้ต้องโขยกเขยกในการเดิน ชอบดูดเลือดที่หัวแม่เท้าของมนุษย์ที่นอนหลับในป่า และหนังผีอันดับหนึ่งคงไม่พ้นเรื่อง แม่นาคพระโขนง ที่เป็นหนังผีอันดับหนึ่ง ประเทศไทย งานวัดสมัยก่อนนอกเหนือจากการประกวดร้องเพลงกับหนังกลางแปลงแล้ว เมียงู และ บ้านผีสิง เป็นสิ่งควบคู่บรรยากาศงานที่แสนคลาสสิกในอดีตพอ ๆ กับม้าหมุน, ชิงช้าสวรรค์ และเชียร์รำวง
ภาพยนตร์จีนยุค 80-90 หนังแนวผี ๆ ซึ่งคงจำภาพ หลิน เจิ้งอิง ในบทบาทอาจารย์ลัทธิเต๋าที่ปราบภูตผีปีศาจ เนื้อเรื่องที่ผสมผสานหลายอารมณ์ ทั้งสยองขวัญ, น่ากลัว, ตลก และฉากแอ๊กชันแบบภาพยนตร์กังฟูเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนและลงตัว เป็นผลงานการอำนวยการแสดงโดย หง จินเป่า ซึ่งหลิน เจิ้งอิง ผู้รับบทอาจารย์ปราบผีตัวเอกของเรื่อง แสดงได้อย่างโดดเด่น จนทำให้บทนี้กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไปตราบจนผลงานการแสดงเรื่องสุดท้ายในชีวิต เมื่อ ค.ศ. 1997
สามก๊กก็มีเรื่องผี ๆ ของ กวนผี ที่มาทวงชีวิต และผี ขงเบ้ง หลอกคน เรื่องมีอยู่ว่า
ในศึกออกกีสานครั้งสุดท้ายของอัครมหาเสนาบดีขงเบ้งที่เนินดาวตก ขงเบ้งซึ่งหักโหมทำทุกอย่างด้วยตนเอง สุขภาพเขาจึงย่ำแย่ลง ในที่สุดขงเบ้งก็ล้มป่วย และเป็นการป่วยที่ขงเบ้งเองก็รู้ว่าตนเองไม่ไหวอีกแล้ว
ขงเบ้งจึงวางแผนส่งกองทัพหนึ่งแสนนายของจ๊กก๊กให้ถอนทัพกลับอย่างปลอดภัย เขาเลือก เอียวหงี เป็นผู้บัญชาการในการถอนทัพกลับ เอียวหงีนำกองทัพกลับไปยังฮันต๋ง โดยปฏิบัติตามคำสั่งก่อนตายของขงเบ้งอย่างเคร่งครัด
ฝ่าย สุมาอี้ ให้นายทหารคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของทหารจ๊กก๊กและดาวประจำตัวจนมั่นใจว่า ขงเบ้งมรณาลาโลก เขาสั่งให้ทหารบุกเข้าไปตี แต่คาดไม่ถึงว่าทหารฝ่ายขงเบ้งไม่เพียงไม่เร่งฝีเท้าหลบหนี แต่กลับหันหน้ากลับมาสู้ ทั้งลั่นกลองรบดังกระหึ่ม ทำทีจะขอรบให้ถึงที่สุด นี่กลับเป็นสิ่งที่สุมาอี้คาดไม่ถึง และทำให้เกิดความลังเล แถมมีบุรุษชุดขาวสวมหมวกถือพัดขนนกนั่งอยู่บนรถบัญชาการราวกับไม่ใช่คนป่วยไข้หนัก (นั่นเป็นรูปปั้นที่ทำหลอก)
สุมาอี้คิดว่าขงเบ้งอาจยังไม่ตาย ไม่เพียงไม่ตายเท่านั้น หากยังใช้อุบายหลอกให้เขาออกรบ เมื่อคิดได้ดังนั้นสุมาอี้ตกใจมาก สั่งให้ถอนทัพไม่กล้าเข้าใกล้อีก ในที่สุดทหารจ๊กก๊กจึงถอนทัพกลับไปได้อย่างปลอดภัย
ทหารจ๊กก๊กถอนทัพกลับไปจนหมดแล้ว แต่สุมาอี้ยังไม่รู้ตัว จนหลายวันต่อมา สุมาอี้ถึงกล้าเดินทางมายังค่ายของทหารจ๊กก๊ก เมื่อเขาได้เห็นสิ่งของต่าง ๆ ที่ขงเบ้งใช้ในการบัญชาการกองทัพ และเอกสารราชการต่าง ๆ ที่หลงเหลือไว้ เขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความสามารถของขงเบ้งและอุทานออกมาว่า “ช่างเป็นอัจฉริยบุรุษในใต้หล้าจริง ๆ”
ขณะนี้สุมาอี้ถึงแน่ใจว่าขงเบ้งตายแล้วจริง ๆ แต่จะไล่ล่าข้าศึกตอนนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว สงครามครั้งนี้ สุมาอี้คิดแผนทำลายข้าศึกมาเป็นอย่างดี สุดท้ายกลับต้องคว้าน้ำเหลวที่สำคัญกลายเป็นเรื่องราวเล่าขานถึงเรื่อง สุมาอี้ ถูกผีขงเบ้งที่ตายไปแล้วปั่นหัวเล่น ปล่อยให้ข้าศึกถอนทัพกลับไปอย่างลอยหน้าลอยตา เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนบ้างหัวเราะเยาะ บ้างเหน็บแนมว่า “ขงเบ้งคนตาย หลอกสุมาอี้คนเป็น”
สุมาอี้ถึงกับออกปากแก้เก้อว่า “ข้ารู้ทันคนเป็น แต่ไม่อาจเดาใจคนตาย”
เรื่องความเฮี้ยนของขงเบ้งไม่หมดแค่นี้ เมื่อขงเบ้งสิ้นใจตายลงแล้ว พระเจ้า เล่าเสี้ยน สั่งให้สร้างสุสานสำหรับฝังศพขงเบ้งไว้อย่างโอฬาร แต่ไม่อาจขัดขืนคำสั่งของขงเบ้งได้ เพราะขงเบ้งสั่งไว้ว่าให้นำศพขึ้นไปฝังไว้บนยอดเขา เตงกุนสาน และในที่กลางแจ้ง ไม่ต้องสร้างศาลาสิ่งปลูกสร้างอันใดทั้งสิ้น ทั้งนี้ต้องการจะนอนตากแดดตากฝนทนสู้ความหนาวและหิมะอยู่ตามลำพัง
หลายปีผ่านไป กองทัพวุยก๊กภายใต้การบัญชาการของ จงโฮย เข้าตีด่าน แฮบังก๋วน ได้สำเร็จ แต่ไพร่พลทหารของเขาไม่ได้หลับนอนเลยตลอดคืน ได้ยินเสียงอื้ออึงกึกก้อง คล้ายเสียงของกองทัพเสฉวนยกมาประชิดด่านแฮบังก๋วนตลอดทั้งคืน เช้ารุ่งขึ้นจึงออกไปลาดตระเวนดู ก็ไม่เห็นมีอะไร จงโฮยแม่ทัพจึงสั่งให้ค้างคืนต่อเพราะยังอิดโรยอยู่ คืนนั้นก็ได้ยินเสียงประหลาดอีกเหมือนคืนก่อนจนไม่มีอันได้หลับได้นอนอีก พอรุ่งสางเขาก็ขึ้นม้าพาทหารออกสำรวจภูมิประเทศ เห็นยอดเขาสูงมีหิมะจับขาวโพลนอยู่ ถามชาวบ้านดูจึงทราบว่าชื่อ เขาเตงกุนสาน
จึงพากันขึ้นไปสำรวจ ก็เจอกับกองทัพม้าปีศาจน่ากลัวตามหลังมาหลอกหลอนตลอดเวลา จงโฮยและทหารทุกคนขวัญหนีดีฝ่อ ต่างควบม้าเผ่นกลับเข้าค่าย มีความสงสัยจึงสอบถามจากชาวบ้านดูก็ได้ความว่าข้างบนมีสุสานที่ฝังศพขงเบ้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งขณะนั้นมีแต่ลมพายุพัดจัด และมีเมฆดำทะมึน ดูเหมือนกำลังพิโรธ
จงโฮยแม่ทัพจ4ึงสั่งฆ่าวัวนำมาสังเวยดวงวิญญาณของขงเบ้งด้วยความเคารพ ทันใดท้องฟ้าก็แจ่มใสขึ้นทันที และในคืนนั้นก็ฝันเห็นคนแต่งตัวด้วยชุดขาวบริสุทธิ์แบบเต้าหยินผู้ทรงศีล ในมือถือพัดขนนก เดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า "ราชวงศ์ฮั่นนั้นหมดบุญแล้ว ตนอยู่ผู้นี้เพื่อรักษาชีวิตไพร่ฟ้าประชาชน เมื่อแม่ทัพยกทัพมาถึงอย่าได้ทำร้ายปล้นชิงสิ่งของหรือทำร้ายชีวิตประชาชนด้วย" แล้วจงโฮยก็ตกใจตื่น
เรื่องผี ๆ ไทยมีให้เล่าเยอะ เช่นในงานเขียน ครูเหม เวชกร ผู้บุกเบิกวรรณกรรมที่เรียกว่า ‘ปีศาจนิยาย’ ด้วยเรื่องสั้นสยองขวัญพร้อมภาพประกอบกว่า 100 เรื่องที่โดดเด่นด้วยการนำเสนอบรรยากาศความหลอนของทิวทัศน์ที่เห็นได้ในชีวิตประจำวันของคนในยุคนั้น เรื่อง "ท่อนแขนนางรำ" ของ มนัส จรรยงค์
เพลงลูกทุ่งก็หยิบเอาผีมาเปรียบเทียบเปรียบเปรยอย่างเพลง "ผีเข้าผีออก" - "ตำราปราบผี" ของ ชาย เมืองสิงห์, เพลง "ยมบาลเจ้าขา" ของ บุปผา สายชล, "ฝันเห็นถึงสุรพล" ของ แดนไพร ลูกเพชร หรือเพลง "เพราะคุณคนเดียว" ของ สุชาติ เทียนทอง ในท่อนที่ว่า "ผีหลอก ก็ยังพอทน แต่คนหลอกคนมันช้ำใจจนวายวุ่น ผีว่าร้าย ยังร้ายไม่เท่าตัวคุณ หลอกผมหัวหมุน หลอกสมใจคุณก็หนีไป"
ผีเรามองไม่เห็น แต่ที่น่ากลัวกว่าคือ ใจคน ที่เราไม่อาจอ่านออกบอกได้ ยิ้ม ๆ ในใจพกมีดไว้ด้วยหรือเปล่า โดยไม่ต้องใช้ฤทธิ์เดชแกล้งเป็นผีมาหลอนหลอกสยองใจ จนไม่รู้ว่ามีดที่ทิ่มข้างนั้นเป็นใคร ที่รู้หน้าไม่รู้ใจ หน้าเนื้อใจเสือ และปากปราศรัยใจเชือดเฉือน หน้าตาดี ๆ ยังทำเป็นผีเที่ยวหลอกคน ยิ่งผีไม่มีศาลผีไม่มีหัว ชอบเมามัวเงาหัวไม่มี หันหน้าสู้ผีไม่ต้องกลัว"เพจเฟซบุ๊ก ชินวัฒน์ ตั้งสุทธิจิต
#ฮาโลวีน #วันปล่อยผี #ตำนานผี #แม่นาค #ขงเบ้งหลอกสุมาอี้ #ผีไทย #หลินเจิ้งอิง #Halloween








