ปิดฉากลงไปเรียบร้อยแล้ว และคงจะเป็นครั้งแรกของประเทศไทย! ในการเป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่แห่งปีคือการจัดประชุมด้านประกันภัยต่อ หรือ ‘Thailand Reinsurance Conference (TRC) 2025’ ที่มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางประกันภัยและประกันภัยต่อของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งงานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล
โดยเจ้าภาพที่เป็น แม่งาน ครั้งนี้เป็นของ สมาคมประกันวินาศภัยไทย (TGIA) ร่วมกับ สมาคมนายหน้าประกันภัยไทย (TIBA) จัดการประชุม โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 800 คน จาก 24 ประเทศ 4 ทวีป มี พันธมิตร (Partner) จากบริษัทประกันภัยต่อและบริษัทนายหน้าประกันภัย กว่า 37 บริษัท ซึ่งถือเป็นเวทีระดับนานาชาติด้าน “ประกันภัยต่อ” (Reinsurance) ครั้งประวัติศาสตร์ ของไทย ที่มุ่งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้รับประกันภัยต่อ นายหน้าประกันภัยต่อ และบริษัทประกันภัยจากทั่วโลก เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางประกันภัยและประกันภัยต่อของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง
โดยบรรยากาศงานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วย นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กล่าว ปาฐกถาพิเศษ ท่ามกลางวิทยากรทั้งในและต่างประเทศร่วมบรรยายกว่า 12 หัวข้อ
หนุนเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกตลาดประกันไทย-ภูมิภาค
เนื้อหาสาระโดยสรุปของการประชุมครั้งนี้ ถูกถ่ายทอดโดย ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ว่า การประชุม “TRC 2025” ถือเป็น หมุดหมายสำคัญ ทางประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้จัดเวทีด้าน “ประกันภัยต่อ” (Reinsurance) ระดับนานาชาติขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 800 คน จาก 24 ประเทศ 4 ทวีป และจะมีการจัดประชุมนี้เป็นประจำ ทุก ๆ 2 ปี เพื่อสร้างเวทีระดับนานาชาติที่เปิดโอกาสให้ผู้รับประกันภัยต่อและนายหน้าประกันภัยต่อจากทั่วโลกได้เข้าถึงข้อมูล เชิงลึก ของตลาดประกันภัยไทยและภูมิภาคอาเซียนโดยตรง พร้อมทั้งเป็นช่องทางให้บริษัทประกันภัยในประเทศได้แลกเปลี่ยน องค์ความรู้ สร้างเครือข่าย และขยายความร่วมมือทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นจุดเชื่อมโยงของตลาดประกันภัยในภูมิภาคและระดับโลกอย่างแท้จริง
ยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางประกันภัยต่ออาเซียน
โดยแนวคิดในการจัดประชุม TRC เริ่มต้นขึ้นในปี 2567 โดยสมาคมประกันวินาศภัยไทยได้ เล็งเห็น ถึงความจำเป็นในการยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศให้ก้าวสู่มาตรฐานสากล จึงริเริ่มแนวคิดในการสร้างเวทีระดับนานาชาติ เพื่อให้ผู้รับประกันภัยต่อ (Reinsurers) และนายหน้าประกันภัยต่อ (Reinsurance Brokers) จากทั่วโลกได้เข้ามาทำความเข้าใจตลาดประกันภัยไทยและอาเซียนอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้บริษัทประกันภัยของไทยได้มีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสริมสร้างความร่วมมือ และพัฒนาศักยภาพร่วมกับพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อยกระดับประเทศไทยให้ก้าวขึ้นสู่การเป็น ศูนย์กลางประกันภัยและประกันภัยต่อของภูมิภาคอาเซียน (Regional Hub for Insurance and Reinsurance) อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ทั้งนี้สมาคมฯ มุ่งมั่นที่จะทำให้ประเทศไทยมีเวทีที่สะท้อนศักยภาพของตลาดประกันภัยไทยในระดับภูมิภาคและเชื่อมโยงกับโลกอย่างแท้จริง โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีเบี้ยประกันภัยต่อรวมมูลค่า 91,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของการเติบโตและความแข็งแกร่งของระบบประกันภัยไทย ขณะที่ในปี 2568 ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างระมัดระวัง ท่ามกลางแรงกดดันจากปัจจัยโลก ทั้งนโยบายการเงิน การค้า และความไม่แน่นอนทาง ภูมิรัฐศาสตร์ อุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทยยังคงดำเนินไปอย่างมั่นคง สามารถรักษาสภาพคล่องและความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสัญญาณที่สะท้อนถึงพัฒนาการของระบบประกันภัยไทยที่กำลังก้าวสู่ความเข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้นในทุกมิติ
ไทยเผชิญภัยพิบัติครั้งใหญ่รุมเร้า
โดยในปี 2566 – 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่หลายเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมใหญ่ใน 37 จังหวัด จากพายุ Kajiki ที่สร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรกรรมและทรัพย์สิน การเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด ในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในวงกว้าง รวมถึงภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นกว่า 40% ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องเฉพาะพื้นที่อีกต่อไป แต่เป็น “ความเสี่ยงเชิงระบบ” (Systemic Risk) ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ และเป็นบททดสอบของระบบการเงินและประกันภัยของไทยว่ามีความพร้อมเพียงใดในการรับมือกับ “ความไม่แน่นอนถาวร” (Permanent Uncertainty) ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและเทคโนโลยี
ประกันภัยต่อคือหัวใจความยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทยได้ทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่องในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ รวมถึงการผลักดันการพัฒนาประกันภัยพืชผลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังของ “ระบบประกันภัยต่อ” ที่อยู่เบื้องหลังความมั่นคงของทั้งระบบ การประกันภัยต่อจึงเปรียบเสมือน “กลไกแห่งเสถียรภาพ” (Mechanism of Stability) ที่ช่วยให้ระบบประกันภัยของไทยสามารถรับมือกับความผันผวนจากภัยธรรมชาติ วิกฤตเศรษฐกิจ หรือภัยคุกคามในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการรับประกันภัย การเสริม ความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy) การพัฒนา แบบจำลองความเสี่ยงภัยพิบัติ (Catastrophe Risk Model) และการเข้าถึงนวัตกรรมระดับโลก จึงอาจกล่าวได้ว่า “การประกันภัยต่อคือกลไกแห่งความมั่นคง และหัวใจของความยั่งยืน” ที่ทำให้ระบบประกันภัยไทยสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในทุกมิติ
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ภาคธุรกิจประกันภัยจำเป็นต้องเดินไปด้วยกัน เพื่อยกระดับระบบประกันภัยต่อให้เติบโตไปพร้อมกับทิศทางของประเทศและภูมิภาค และภายใต้การสนับสนุนของพันธมิตรกว่า 37 องค์กร การจัดการประชุม TRC 2025 จึงนับเป็น “จุดเริ่มต้นสำคัญของการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางประกันภัยและประกันภัยต่อของภูมิภาคอาเซียน”
ผลักดัน ESG ส่วนหนึ่ง 'ดีเอ็นเอ' ทุก บ.ประกัน
การประชุม Thailand Reinsurance Conference (TRC) 2025 จึงเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล ภาคเอกชน และพันธมิตรระดับโลก เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจที่ไร้ขีดจำกัด และร่วมกันวางแนวทางใหม่ในการเสริมสร้าง “Catastrophe Resilience” และพัฒนา “Parametric Insurance” ให้กับประเทศไทย พร้อมทั้งผลักดันแนวทาง ESG ให้เป็นส่วนหนึ่งของ ดีเอ็นเอ (DNA) ของทุกบริษัทประกันภัย ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านการประกันภัยและประกันภัยต่อในระดับภูมิภาคและระดับโลก อันสะท้อนบทบาทของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้นำที่พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และพันธมิตรในอุตสาหกรรมจากทั่วโลก ที่ได้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการประชุม “Thailand Reinsurance Conference 2025” เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ก้าวสู่อนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน
เรียกว่าการจัดเวทีประชุมบรรดาพันธมิตรประกันต่อต่างประเทศครั้งนี้มาได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ ภายใต้ไทยเราเวลานี้มีความเปลี่ยนแปลง ภูมิรัฐศาสตร์ และเกิดภัยอุบัติใหม่ๆ อย่างเช่นแผ่นดินไหวคอนโดหรืออาคารสูงที่ไม่เคยเกิดก็มาเกิด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยประกอบพิจารณา รับประกันภัย และการจ่ายสินไหม
ตลอดจนพิจารณา รับประกันภัย อย่างมากทีเดียว ดังจะมีผลตามมาถึงการเรียกความเชื่อมั่นตลาดประกันภัยไทยและตลาดในภูมิภาคอาเซียนมากๆ ทีเดียว ให้ทบทวนใหม่ โดยเฉพาะบางความเสี่ยงภัยใหม่ๆ ที่บริษัทประกันต่อต่างประเทศยังปฏิเสธรับงานในบ้านเรา หรือ ชาร์จเบี้ยประกัน ไทยเราสูงขึ้น ดังนั้นจึง เชื่อ ว่าการประชุมเที่ยวนี้คงไม่ได้ทำให้ไทยและพันธมิตรประเทศต่างๆ มาประชุมเที่ยวนี้แล้วเสียเที่ยวเป็นอย่างแน่นอน เพราะคงจะได้ข้อมูล เชิงลึก สภาพตลาดไทยและอาเซียนนำกลับไปพิจารณาหรือทบทวนนโยบาย ขีดความสามารถรับประกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นแน่ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งกลับกัน ถ้าความร่วมมือกันนี้เป็นการหยุดแค่ให้บริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศมาแข่งขันราคาสำหรับการ รับประกันภัยต่อตรง จากบริษัทประกันภัยไทย อันนี้คงส่งผลให้ระยะยาวไทยเราคงแย่แน่ โดยเราไม่พยายามที่จะรับและบริหารความเสี่ยงภายในประเทศเราเลย โดยเฉพาะภาครัฐหรือ คปภ. คงต้องคำนึงถึงการ ขาดดุลการค้าด้านประกันภัยต่อ ต่างประเทศของไทยอีกขาหนึ่งด้วย
และที่สำคัญสิ่งต้องระมัดระวังคือประสบการณ์ ความก้าวหน้า และความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมประกันภัยไทยอาจจะลดลงไปเรื่อยๆ ได้ เพียงเพราะแค่รถยนต์ EV ไม่กี่แสนคัน ยังต้องให้ต่างชาติมารับประกันภัยแทน ซึ่งหากในอนาคต รถ EV มีสัดส่วนจำนวนรถมากกว่านี้ นั่นหมายถึงอะไร และความสามารถในการแข่งขันเราจะอยู่ที่ไหน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ควร พึงระวัง








