วันที่ 29 ตุบาคม 2568 ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก., พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกูล รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ปอศ., พ.ต.อ.กริช วรทัต ผกก.4 บก.ปอศ., พ.ต.อ.เมฆพิศาล ศรีภิรมย์ ผกก.5 บก.ปอศ. ร่วมกับกระทรวงการคลัง โดย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) โดย นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจค้น จับกุม นำโดย พ.ต.ท.วรวุฒิ คงรักษา สว.กก.4 บก.ปอศ. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ตำรวจ กก.4 บก.ปอศ., พ.ต.ท.สุทธิพงษ์ มอญรัต, พ.ต.ท.สุทธิพงษ์ จันทพันธ์, พ.ต.ต.พิชญากร แตงรอด และ พ.ต.ต.บัญชา ช่วยรอดหมด สว.กก.5 บก.ปอศ. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปอศ. ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ดังนี้
1.น.ส.วันทนีย์ฯ อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 6250/2568 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2568 สถานที่จับกุม บริเวณบ้านหลังหนึ่งภายในพื้นที่ ต.บางเมือง อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ
2. น.ส.ทิพย์เทวีฯ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 6251/2568 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2568 สถานที่จับกุม บริเวณบ้านหลังหนึ่งภายในพื้นที่ ต.หมากแข้ง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี
3.น.ส.นาตาชาฯ อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 6252/2568 ลงวันที่ 28 ตุลาคม 2568 สถานที่จับกุม บริเวณบ้านหลังหนึ่งภายในพื้นที่ ต.เนินกว้าว อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์
ตรวจยึดของกลาง ดังนี้
1.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 5 เครื่อง
2.คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก จำนวน 1 เครื่อง
โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวล กฎหมายอาญา, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความ เสียหายต่อการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐาน อันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนก แก่ประชาชน”
พฤติการณ์ “โครงการคนละครึ่งพลัส” ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายของรัฐบาล ที่เกิดขึ้นเพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ ลดรายจ่ายและภาระค่าครองชีพของประชาชน ทำให้มีเงินหมุนเวียน ในระบบเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขาย สินค้าและการให้บริการผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งถือเป็นการยกระดับการค้าและบริการในยุคดิจิทัลอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้ที่ฉวยโอกาสกระทำการทุจริตเพื่อแสวงหาผลประโยขน์ โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ เป็นช่องทางในการโฆษณาเชิญชวนประชาชนที่เข้าร่วมโครงการให้นำวงเงินตามสิทธิมาแลกรับเงินโดยไม่มีการซื้อขายสินค้าตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของโครงการฯ บิดเบือนเจตนารมณ์ของรัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเกิดการหมุนเวียนเงินในระบบฐานราก
จากกรณีดังกล่าว กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จึงได้ติดตามข้อมูล ข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินโครงการฯ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ช่องทางต่าง ๆ พบว่ามีบุคคลที่โพสต์ข้อความ สาธารณะผ่านแอปพลิเคชัน Facebook ในลักษณะที่เชิญชวนให้บุคคลทั่วไปมาแลกรับเงินแทนการใช้สิทธิ จ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการตามมูลค่าจริง ซึ่งถือเป็นการชักชวนให้ประชาชนกระทำผิดต่อกฎหมาย รวมถึงขัดต่อหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ บิดเบือนข้อเท็จจริง วัตถุประสงค์ และเงื่อนไขของ โครงการฯแสดงให้เห็นถึงเจตนาทุจริต และก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อประชาชนทั่วไปว่าสามารถ นำวงเงินที่ได้รับสิทธิตามโครงการฯ แลกรับเป็นเงินสดกับร้านค้าโดยไม่จำต้องมีการใช้จ่าย หรือซื้อสินค้า ซึ่งล้วนแต่เป็นข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งสิ้น ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการดำเนินโครงการฯ ในภาพรวม ตลอดจนไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่กำหนดเป้าหมายในการดำเนินโครงการฯ สศค. จึงได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลที่กระทำความผิดดังกล่าว
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) จึงได้ดำเนินการสืบสวนและตรวจสอบเพื่อป้องปรามและสกัดกั้นผู้ที่พยายาม บิดเบือนและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากโครงการ "คนละครึ่งพลัส" จนรู้ตัวผู้กระทำความผิดซึ่งใช้ช่องทาง สื่อสังคมออนไลน์ บิดเบือนความเป็นจริงเกี่ยวกับโครงการฯ โฆษณาเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิตามโครงการฯ เข้าร่วมแลกวงเงินตามสิทธิ เป็นเงินสดแทนการใช้จ่ายจริง โดยมีการหักส่วนต่างและแบ่งผลประโยชน์กัน
จากการรวบรวมพยานหลักฐาน จนนำไปสู่การตรวจค้นและจับกุมผู้กระทำความผิดผลการตรวจค้นจับกุม พบตัวผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ จำนวน 3 รายดังกล่าวพร้อมด้วยพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง กับการกระทำความผิด อาทิเช่น ได้แก่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งใช้ในการติดตั้ง แอปพลิเคชัน“เป๋าตัง” ซึ่งมีการลงทะเบียนร้านค้าหรือใช้ในการติดต่อสื่อสาร กับบุคคลที่มาใช้บริการ แลกเงินทางช่องทางต่าง ๆ ตลอดจนเอกสารสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการกระทำความผิดอีกหลายรายการ จากนั้น จึงได้นำตัวผู้ต้องหา ส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ให้การรับสารภาพว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ ดังกล่าวจริง โดย น.ส.วันทนีย์ฯได้ให้การรับสารภาพ เนื่องจากเห็นข้อมูลจากสื่อโซเชียลเลยต้องการหารายได้พิเศษ ส่วนผู้ต้องหารายอื่นให้การปฏิเสธ
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอฝากเตือนภัยถึงประชาชน เนื่องด้วย “โครงการคนละครึ่งพลัส” มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ตลอดจนส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าและให้บริการ
โปรดอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนให้แลกวงเงินสิทธิโครงการฯ เป็นเงินสด เนื่องจากเป็นการนำข้อมูลเท็จ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)
ทั้งนี้หากมีการแลกวงเงินสิทธิโครงการฯ เป็นเงินสดเกิดขึ้นจริง จะถือเป็นความผิดทางอาญา ฐานร่วมกันฉ้อโกงทั้งผู้แลกและผู้รับแลก (ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) ตลอดจนถูกระงับสิทธิไม่ให้เข้าร่วมโครงการอื่นของรัฐบาล รวมถึงต้องคืนเงินให้แก่รัฐบาล อีกด้วย
ดังนั้น อย่าตกเป็นเหยื่อหรือผู้ร่วมกระทำผิดเพียงเพราะความโลภ ในเงินส่วนต่างเพียงเล็กน้อย และโปรดใช้สิทธิตามเงื่อนไขและวัตถุประสงค์ของรัฐบาลเท่านั้น
ทั้งนี้ หากท่านมีข้อสงสัยถึงการดำเนินการหรือเงื่อนไขการใช้สิทธิ หรือต้องการแจ้งเบาะแส ตามโครงการคนละครึ่งพลัส โปรดติดตามรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ www. คนละครึ่งพลัส .com








