จังหวะเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองของอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องเผชิญกับวิกฤตการสื่อสารสาธารณะ ที่กำลังสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเป็นการทำลายความรู้สึกชาตินิยม ในประเด็นอธิปไตยเหนือดินแดน ให้เกิดการตีความว่ารัฐบาลยอมรับความเสียเปรียบและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
จุดเริ่มต้นคือการที่นายอนุทินไปกล่าวถึงการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา โดยระบุว่า "ไทยก็มีการรุกล้ำพื้นที่ของกัมพูชาเช่นกัน" กลายเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า จะรีบพูดไปทำไม ด้วยคำพูดของนายกรัฐมนตรีอาจถูกฝั่งกัมพูชานำไปขยายผลและเคลมเอาได้อีก
กระทั่งต่อมา อนุทินได้ออกมาขอโทษที่ทำให้สับสน สิ่งที่ตนพูดถึงนั้นหมายถึงพื้นที่อ้างสิทธิ์ ที่ทั้งสองฝ่ายต้องเจรจกันต่อไป
สำทับด้วยโฆษกรัฐบาล สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ที่ชี้แจงว่าเป็นเพียงการพูดเชิงเปรียบเทียบในการบริหารจัดการพื้นที่ เป็นการตอบข้อซักถามเรื่องบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนตามข้อตกลงที่ 4
"ท่านเปรียบเทียบว่าในการบริหารจัดการในข้อที่ 4 ถ้าไทยรุกล้ำไปฝั่งเขาก็ต้องเอากลับมาหาที่ให้อยู่ ซึ่งการที่กัมพูชารุกล้ำมาฝั่งไทยก็ต้องหาที่ให้คนที่รุกล้ำฝั่งไทยอยู่ใหม่ ในเชิงบริหารจัดการควรทำเช่นนั้น"
มรสุมคำพูดถูกซ้ำเติมด้วยความกังวลของสังคมต่อยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจระดับโลก ผ่านการลงนามใน MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านแร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในเวทีภูมิรัฐศาสตร์โลก
น่าสนใจ กระแสชาตินิยมเคยเป็นอาวุธสำคัญในการมีแต้มต่อและมีเสียงสนุบสนุนทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา หากแต่เมื่อเข้ามาขี่หลังเสือเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำกุมอำนาจบริหารกลับมีประเด็นให้เกิดความคลางแคลงในหัวใจ เป็นสิ่งที่อนุทินและพรรคภูมิใจไทยต้องเร่งคลายปม ก่อนดาบนั้นจะคืนสนองทำลายนั่งร้านตนเอง
#อนุทิน #ภูมิใจไทย #พื้นที่ทับซ้อน #ไทยกัมพูชา #อธิปไตย #วิกฤตสื่อสาร #แรร์เอิร์ธ #การเมือง #ชาตินิยม








