ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การแข่งขันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คนนั้นดุเดือดยิ่งกว่าที่เคย ทำให้เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่ผู้ประกาศข่าวบนจอทีวีหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทสู่การเป็น 'นักเล่าข่าว' หรือกระทั่ง 'อินฟลูเอนเซอร์' เต็มตัว ไม่เพียงแค่อ่านข่าวตามสคริปต์ แต่เลือกที่จะเล่าเรื่อง ใส่ความเห็นส่วนตัว ใช้โทนเสียงเร้าอารมณ์ หรือแสดงมุมมองอย่างออกรส เพื่อสร้างแรงดึงดูดและยอดวิว สิ่งนี้อาจทำให้ข่าวน่าติดตามและเข้าถึงง่ายขึ้น แต่ในมุมมองของนิเทศศาสตร์และการสื่อสารแล้ว มันคือสัญญาณอันตรายที่กำลังคุกคามรากฐานสำคัญของวิชาชีพสื่อสารมวลชนอย่างเงียบ ๆ
หัวใจสำคัญที่ผู้คนมอบความไว้วางใจให้กับสื่อมวลชนมาโดยตลอดคือ ความเป็นกลาง และ ความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นเส้นแบ่งบาง ๆ ที่คั่นระหว่าง ผู้ประกาศข่าว ผู้ทำหน้าที่รายงานข้อเท็จจริง กับ นักเล่าเรื่อง ผู้มีอิสระในการแสดงความคิดเห็นและชี้นำ การที่ผู้ประกาศข่าวเริ่มผสานบทบาทและใส่อคติส่วนตัว หรือแม้กระทั่งการใช้อารมณ์เกินจริงเพื่อเร้าให้ผู้ชมตื่นเต้นตามแบบอินฟลูเอนเซอร์นั้น เท่ากับเป็นการบดบังความจริงด้วยความรู้สึกส่วนตัว ทำให้ผู้รับสารยากที่จะแยกแยะได้ว่าสิ่งที่กำลังฟังคือ 'ข้อเท็จจริง' หรือ 'การตีความ' สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ความน่าเชื่อถือของผู้ประกาศคนนั้นสั่นคลอน แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในสถาบันสื่อทั้งหมด
แน่นอนว่าการเล่าเรื่องที่ดี เป็นศาสตร์ที่ทรงพลัง สามารถทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและน่าจดจำ แต่การเล่าเรื่องในบริบทของข่าวต้องมาพร้อมกับ 'จริยธรรม' ผู้ประกาศสามารถใช้เทคนิคการเล่าเรื่องเพื่อจัดลำดับข้อมูลและสร้างบริบทที่ชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องใส่ความเห็นหรือความลำเอียง การเล่าเรื่องที่มีจริยธรรมคือการนำเสนอข้อเท็จจริงด้วยความรับผิดชอบ เพื่อให้สาธารณชนสามารถประเมินและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การชี้นำความคิดด้วยอารมณ์หรือวาระซ่อนเร้น เพราะภารกิจหลักของสื่อมวลชนคือการให้บริการสาธารณะด้วยความซื่อสัตย์ ไม่ใช่การสร้างความบันเทิงเพื่อแลกกับยอดคลิก
สุขสันต์วันแห่งการเล่าเรื่อง
#นักเล่าข่าว #สื่อมวลชน #จริยธรรมสื่อ #ข่าววันนี้ #สังคมไทย #Storytelling #MediaEthics








