เมื่อวันที่ 22 ต.ค.68 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 โดยที่ประชุมมีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี เนื่องจากคณะกรรมการเห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่การลดดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
กนง. ระบุว่า ควรให้ความสำคัญกับ “จังหวะเวลาและประสิทธิผลของนโยบาย” ภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่จำกัด จึงเห็นสมควรคงดอกเบี้ยไว้ในการประชุมครั้งนี้ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัว 2.2% และปี 2569 ขยายตัว 1.6% ใกล้เคียงกับคาดการณ์เดิม
เศรษฐกิจช่วงครึ่งแรกของปีขยายตัวดีจากการผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ฟื้นตัวตามวัฏจักรเทคโนโลยี แต่ครึ่งหลังปีมีแนวโน้มชะลอตัวจากหลายปัจจัย เช่น การหยุดผลิตชั่วคราวในบางอุตสาหกรรม การส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ การท่องเที่ยวที่ฟื้นช้า และการบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มแผ่วลง
กนง. แสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตต่ำกว่าศักยภาพจากทั้งปัจจัยวัฏจักรและโครงสร้าง โดยเฉพาะการส่งออกที่เผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความเปราะบางของภาค SMEs
* เงินเฟ้อต่ำยาว – เสี่ยงกระทบ SMEs
ฝ่ายเลขานุการ กนง. รายงานว่า ธุรกิจ SMEs ยังคงเติบโตต่ำ โดยอัตราขยายตัวลดลงกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ฟื้นตัวเกือบเต็มรูปแบบ สะท้อนความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความสามารถแข่งขันที่ลดลง
สำหรับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2568 อยู่ที่ 0.0% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 0.5% ในปี 2569 ก่อนทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 1–3% ช่วงต้นปี 2570 ทั้งนี้ กนง. มองว่าความเสี่ยงของภาวะ “เงินฝืด” ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากแรงกดดันด้านราคาเกิดจากปัจจัยอุปทาน เช่น ราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและเงินเฟ้อคาดการณ์ยังทรงตัวในกรอบเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม กนง. ย้ำให้จับตาแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้นหากการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัว พร้อมเน้นสร้างความเข้าใจกับสาธารณชนเกี่ยวกับปัจจัยขับเคลื่อนเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้ประชาชนกังวลเกินจำเป็นต่อแนวโน้มเงินฝืด
* ภาวะการเงิน–เสถียรภาพระบบการเงิน
ธปท. ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยในระบบการเงินปรับลดลง สอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ผ่านมา แต่ผลส่งผ่านสู่ต้นทุนสินเชื่อของภาคเอกชนยังแตกต่างกัน โดย SMEs ได้รับประโยชน์น้อยกว่าธุรกิจขนาดใหญ่จากความเสี่ยงด้านเครดิต
ขณะที่สินเชื่อรวมของระบบยังหดตัว จากความระมัดระวังในการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าราว 5% ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลกระทบต่อรายได้ของภาคส่งออก โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และกลุ่มสินค้ากำไรต่ำ เช่น เกษตร อาหารทะเลแช่แข็ง และสิ่งทอ
กนง. จึงเสนอให้ ติดตามการขยายตัวของสินเชื่อและค่าเงินบาท อย่างใกล้ชิด พร้อมออกมาตรการทางการเงินเฉพาะจุดเพื่อดูแลกลุ่มเปราะบาง
* แนวทางนโยบายการเงิน
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายที่เน้นเสถียรภาพราคา ควบคู่กับการเติบโตอย่างยั่งยืน กนง. เห็นพ้องว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับ “ผ่อนคลาย” ต่อไป เพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไป เนื่องจากผลของการลดดอกเบี้ยก่อนหน้านี้ยังอยู่ในช่วงส่งผ่าน ซึ่งมักใช้เวลา 4–6 ไตรมาส
ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามพัฒนาการเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด พร้อมปรับนโยบายให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในระยะยาว
#ธปท #กนง #ดอกเบี้ย #เศรษฐกิจไทย #เงินเฟ้อ #SMEs #ธนาคารแห่งประเทศไทย #ข่าวเศรษฐกิจ #ข่าววันนี้ #ข่าวการเงิน








