“ถ้าผมอยากจะหนี ผมก็หนี ถ้าผมอยากจะอยู่ ผมก็อยู่”!!
ประโยคข้างต้นของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตอกย้ำว่าอำนาจในการยุบสภานั้น เป็นของตน ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่าอาจจะตัดสินใจยุบสภาก่อนเส้นตาย 31 มกราคม 2569 ตาม MOA กับพรรคประชาชน กระนั้น การยุบสภานั้นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางการเมือง อาจต้องมองลึกกว่าถ้อยคำที่ถูกส่งออกมา เพราะคำว่าอยากจะหนีก็หนี อยากจะอยู่ก็อยู่นั้น ทำให้ไม่ติด “กับดักเวลาเชิงยุทธศาสตร์”
แน่นอนว่าชัยชนะในการเลือกตั้งซ่อม 2 สนามติดต่อกัน ทั้งที่ศรีสะเกษและกาญจนบุรี ได้มอบความมั่นใจให้แก่ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) อย่างเต็มเปี่ยม ที่ทำให้บรรดานักวิเคราะห์การเมืองมองว่า เมื่อดูด ส.ส. เข้าพรรคได้เต็มพิกัดแล้ว ก็จะยุบสภา โดยไม่ต้องรอให้ถึงกำหนดวาระที่เคยประกาศไว้ แต่หากมองไปที่เงื่อนไข โครงการประชานิยม อย่าง "คนละครึ่ง พลัส" ที่เป็นมาตรการที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจนเต็มโควตา 20 ล้านสิทธิ์ในเวลาอันรวดเร็ว การประกาศว่าจะเดินหน้า เฟส 2 ของ สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ว่าในส่วนของประชาชนที่ไม่ได้รับสิทธิ์ คนละครึ่ง พลัส ในเฟสแรกที่จะสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2568 นี้ จะมีการพิจารณาขยายสิทธิ์ให้ได้รับสิทธิ์ในเฟส 2 ช่วง เดือนมกราคม 2569 จากงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ก็อาจทำให้ตีความได้ว่า รัฐบาลจะต้องอยู่ เพื่อ “ยิงกระสุน” ครั้งสำคัญคือ “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2”
ดังนั้น แม้จะเผชิญ “ความเสี่ยง” จากปมร้อนมาตรา 144 หรือ อาจมีการไปร้องศาลรัฐธรรมนูญปมแก้ไขรัฐธรรมนูญ กระนั้น สำหรับรัฐบาลภูมิใจไทย การเลือกที่จะอยู่ต่อไม่เร่งยุบสภา อาจสร้างความได้เปรียบที่มั่นคงกว่า เพราะยิ่งรัฐบาลอยู่นานเท่าไหร่ พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนก็จะยิ่งแย่ลง
#อนุทิน #ยุบสภา #คนละครึ่งพลัส #ภูมิใจไทย #การเมืองไทย #MOA #มกราคม69