ในแวดวงภาพยนตร์ "ฮอลลีวูด" ดาราสาวสวยอย่าง "แอล แฟนนิง" (Elle Fanning) เธอมีใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม เปี่ยมไปด้วยความจริงใจและมีเสน่ห์ดึงดูดใจอย่างร้ายกาจ จนไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องตกหลุมรักเธอไปตาม ๆ กัน
แอล แฟนนิง ก้าวเข้าสู่วงการมายาตั้งแต่ยังเด็ก ฉายแววทั้งฝีมือการแสดง ความน่ารักสดใส พัฒนาการที่โดดเด่น รวมถึงการเป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน เธอเคยให้สัมภาษณ์ถึงการเริ่มต้นเส้นทางในฮอลลีวูดไว้อย่างน่าสนใจว่า "การเริ่มต้นเส้นทางของเธอในฮอลลีวูด เกิดจากจิตวิญญาณของการผจญภัย มันเป็นเกมที่สนุกสนาน แต่ก็ไม่ได้หมายความถึงตลอดไป" นี่คือทัศนคติที่ทำให้เธอยังคงเปล่งประกายมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับ แอล แฟนนิง เธอเริ่มต้นแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกใน I Am Sam (2001) ด้วยวัยเพียงสิบแปดเดือนเท่านั้น! และมีผลงานต่อเนื่องมาโดยตลอด จนกระทั่งอายุ 27 ปีในปัจจุบัน เธอผ่านการแสดงมาแล้วรวมกว่า 60 เรื่อง ทั้งหนังสั้น หนังยาว และซีรีส์ ซึ่งเป็นเรื่องที่น้อยคนนักในวงการบันเทิงที่โลดแล่นมายาวนานขนาดนี้แล้วจะไม่มีเรื่องฉาวโฉ่หรือเรื่องเสียหายเลย
แต่ แอล แฟนนิง คือหนึ่งในเพชรเม็ดงามเหล่านั้น! ไม่ว่าจะไปทางไหนผู้คนก็พร้อมจะรักเธอ และเธอก็พร้อมจะมอบความรักให้กับทุกคนด้วยความจริงใจถึงขีดสุด มาทำความรู้จักกับนักแสดงสาวคนนี้ให้มากขึ้นผ่าน 5 ภาพยนตร์สุดเข้มข้นเหล่านี้ แล้วคุณจะต้องตกหลุมรักเธอมากขึ้นไปอีกขั้น!
1. 3 Generations (2015): บทบาทเปลี่ยนโลกในฐานะ "เรย์"
เดิมทีภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่า Three Generations ก่อนจะถูกกำหนดให้ใช้ชื่อ About Ray ตามตัวละครหลักของเรื่อง จนท้ายที่สุดชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ 3 Generations ทันทีที่มีการประกาศว่า แกบี เดลลาล จะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับทรานส์เจนเดอร์ ความตื่นเต้นก็พุ่งสูงว่าใครจะได้รับบทนำ และเมื่อชื่อของ แอล แฟนนิง ถูกประกาศออกมา ดูเหมือนจะมีเสียงที่ไม่เห็นด้วยอยู่ไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้เรามักคุ้นเคยกับแอลในบทบาทเจ้าหญิงหรือลูกสาวที่น่ารัก แต่ถึงอย่างนั้น แกบีก็ยืนยันในการเลือกเธออย่างหนักแน่น โดยกล่าวว่า “แอลเป็นนักแสดงที่น่าทึ่ง และอย่างที่คุณเห็นได้จากการแสดง ฉันไม่พบหรือรู้จักนักแสดงคนไหนที่จะเล่นบทนี้อย่างที่แอลทำได้”
ในเรื่องนี้ เราจะได้เห็นแอลในลุคที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเธอต้องรับบทเป็น ราโมนา หรือ เรย์ เด็กสาวที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากก้นบึ้งของหัวใจ ราโมนา รับรู้ได้ว่าเธอมีจิตใจเป็นผู้ชาย เธอจึงพยายามอย่างหนักที่จะเป็น เรย์ ที่มุ่งมั่น แต่ปัญหาก็คือด้วยความที่เรย์อายุเพียง 16 ปี การจะเข้ารับการรักษาและแปลงเพศได้นั้นต้องได้รับการเซ็นยินยอมจากผู้ปกครอง ซึ่งจุดนี้ทำให้ครอบครัวต้องคิดหนัก ไม่ว่าจะเป็น แม็กกี้ ผู้เป็นแม่ที่คอยสนับสนุนลูกมาตลอด แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด หรือ ดอลลี่ คุณยายที่ยังปรับความรู้สึกไม่ได้ทั้งหมด หากหลานสาวจะกลายเป็นหลานชาย! แก่นของเรื่องจึงไม่ได้โฟกัสไปที่พัฒนาการของเรย์เพียงคนเดียว แต่ยังถ่ายทอดน้ำหนักไปยังความสัมพันธ์ของครอบครัว ทั้งความเข้าอกเข้าใจ การยอมรับ ความอบอุ่น และความเจ็บปวด หากจะสรุปสั้น ๆ สักหนึ่งประโยคคงต้องบอกว่า จงเชื่อมั่นในหัวใจตัวเอง แล้ววันหนึ่งคนอื่นจะมองเห็นหัวใจเรา
2. The Beguiled (2017): หญิงสาวผู้อยู่ท่ามกลางไฟปรารถนา ในบท "อลิเซีย"
The Beguiled คือผลงานการเขียนบทและกำกับโดย โซเฟีย คอปโปลา ที่ส่งให้เธอคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2017 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีที่ผู้หญิงได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ แอล แฟนนิงเองก็กระตือรือร้นอย่างมากสำหรับการแสดงเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเพราะการได้ร่วมงานกับ นิโคล คิดแมน ซึ่งถือเป็นไอดอลในการทำงานของเธอ และ Moulin Rouge! ยังเป็นภาพยนตร์สุดโปรดตลอดกาลของเธอด้วย!
เรื่องราวเกิดขึ้นในปี 1864 ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ที่โรงเรียนประจำหญิงล้วนแห่งหนึ่งที่ยังคงมีความสงบหลบซ่อนตัวอยู่ ภายในโรงเรียนมีเพียง มาร์ธา ผู้ดูแลใหญ่สุด, เอ็ดวีน่า ครูผู้ช่วย และนักเรียนหญิงอีก 5 คน ซึ่งคนที่โตสุดคือ อลิเซีย (รับบทโดย แอล) ชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายต้องสั่นสะเทือน เมื่อกลุ่มเด็กสาวช่วยชีวิตทหารฝ่ายศัตรูนาม สิบโทแม็คเบิร์นนีย์ ไว้ การพาเขากลับมารักษาตัวภายในบ้านพัก ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนให้ภายในใจของพวกเธอแปรปรวน ชายหนุ่มที่ตกอยู่ท่ามกลางหญิงสาวกำลังทำให้ ศัตรู ตื่นขึ้น ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นความอิจฉาริษยา การชิงดีชิงเด่น และไฟปรารถนาที่ลุกโชนจนยากจะหาอะไรมาดับลง! แต่เมื่อเขาเป็นคนนำมาซึ่งปัญหา มันอาจไม่ยากนัก ถ้าหากพวกเธอคิดจะ ตัดปัญหาให้พ้นไป... หรือคุณว่าไม่จริง?
3. Teen Spirit (2018): ตามฝันป๊อปสตาร์ ในบท "ไวโอเล็ต"
นี่คือการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของ แม็กซ์ มิงเกลลา ที่ผันตัวมาสู่การทำงานเบื้องหลัง ใน Teen Spirit เราจะได้เห็นแอลในมาดนักร้อง ซึ่งการร้องเพลงเป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอดเช่นกัน! ตอนเด็ก ๆ เธออยากเป็นนักแสดงหรือป๊อปสตาร์ และที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ คือในเรื่องนี้แอลได้ร่วมงานกับ มาริอุส เดอ วรีส์ ผู้อยู่เบื้องหลังดนตรีประกอบภาพยนตร์ดังมากมาย อาทิ Romeo + Juliet และ Moulin Rouge! หนังเรื่องโปรดของเธอนั่นเอง!
ไวโอเล็ต เด็กสาววัยรุ่นชาวโปแลนด์ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กของเกาะไอล์ออฟไวต์ เธอเบื่อหน่ายกับชีวิตที่เป็นอยู่ และรักการร้องเพลงอย่างสุดหัวใจ ความใฝ่ฝันสูงสุดของเธอคือการเป็นนักร้อง ไวโอเล็ตแอบไปร้องเพลงตามร้านอาหารและสมัครเข้าประกวด แม้แม่ของเธอจะกลัวว่าลูกจะผิดหวัง แต่เมื่อเห็นไวโอเล็ตมุ่งมั่นและไปได้ไกลขนาดนั้น คนเป็นแม่ก็ยอมให้ลูกได้เดินตามเส้นทางที่ตัวเองเลือก แต่การจะขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดได้ เธอต้องเลือกและตัดอะไรหลายอย่าง แม้โครงเรื่องจะคล้ายหนังสูตรสำเร็จที่เรามองเห็นปลายทาง แต่แม็กซ์ก็รู้ว่าเขาควรเติมอะไรตรงไหน เพื่อไม่ให้ราบเรียบจนเกินไป รวมถึง เสียงร้องของแอลที่แม้จะไม่ได้ทรงพลังมาก แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง สาวกน้องแอลจะต้องละลายแน่นอน!
4. Galveston (2018): หนีตายไปกัลเวสตัน ในบท "ร็อกกี้"
ผลงานการกำกับภาพยนตร์จาก เมลานี โลรองต์ นักแสดงสาวชาวฝรั่งเศสที่ฝากผลงานไว้ให้จดจำมากมาย เนื้อหาดัดแปลงมาจากนวนิยายของ นิค พิซโซลัตโต นักเขียนบทมือฉมังจากซีรีส์ True Detective
ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าผ่าน รอย นักฆ่าที่โดนนายจ้างหักหลังจนเกือบเอาตัวไม่รอด โชคดีที่เขายังมีฝีมือจนรอดมาได้ และตอนขากลับออกมาจากที่เกิดเหตุ เขากลับได้ ร็อกกี้ (รับบทโดย แอล) เด็กสาวโสเภณีที่ถูกจับตัวไว้ติดรถมาด้วย หนทางเดียวที่จะทำให้ทั้งคู่มีชีวิตอยู่ต่อไปคือการหนีไปให้ไกลที่สุดจากการไล่ล่า พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองกัลเวสตัน เพื่อกบดานให้เรื่องซาลง แต่ระหว่างทางร็อกกี้ขอให้แวะสถานที่แห่งหนึ่ง และสิ่งที่รอยได้มาไม่ใช่แค่ปืน แต่เป็นสาวน้อยวัยสามขวบที่ร็อกกี้หิ้วมาขึ้นรถ! คนสามคนที่ไร้ค่าจึงต้องมาเดินทางร่วมกัน ลงเรือลำเดียวกัน ปลายทางนี้เรืออาจจมลง หรือไม่ก็ส่งให้สักคนให้ถึงฝั่งฝัน หรือไม่แน่พวกเขาอาจ ค้นพบความหมายของการจะมีลมหายใจอยู่ต่อไปก็ได้
5. All the Bright Places (2020): แสงสว่างในความมืดมิด ในบท "ไวโอเล็ต"
All the Bright Places เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยความปวดร้าวและบาดแผลของวัยรุ่นสองคน คนหนึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยเจ็บช้ำ แต่คนหนึ่งกลับซ่อนไว้จนพ้นจากสายตา โดยเนื้อหานั้นอ้างอิงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ เจนนิเฟอร์ นิเวน ซึ่งเธอหวังว่าเรื่องราวนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับการมองลึกลงไปในผู้คนและและสถานที่รอบ ๆ ตัวเรา เราต้องทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยที่จะออกมาพูดว่า “ฉันมีปัญหา และฉันต้องการความช่วยเหลือ”
การเผชิญหน้ากันระหว่าง ไวโอเล็ต มาร์คีย์ กับ ธีโอดอร์ ฟินช์ นั้นไม่ได้เริ่มต้นแบบโลกสวย แต่กลับเป็นวันที่ไวโอเล็ตยืนอยู่บนขอบสะพานและครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง ฟินซ์ ที่วิ่งผ่านมาจึงเข้าไปเกลี้ยกล่อมให้เธอลดตัวลงมายังจุดปลอดภัย นับจากนั้นเป็นต้นมา ฟินซ์ก็เข้าไปตีสนิทเธอ โดยมีโปรเจกต์งานนักเรียนมาช่วยบังหน้า อันที่จริงไวโอเล็ตไม่มีแก่ใจจะทำอะไรทั้งนั้น เพราะยังเจ็บปวดอยู่กับการสูญเสียพี่สาวไป แต่ฟินซ์ก็ไม่ลดละความพยายาม เขาทลายกำแพงของเธอเข้าไปทีละน้อย ซึ่งในทางกลับกันไวโอเล็ตไม่รู้เลยว่าตัวฟินซ์นั้นก็มีกำแพงบางอย่างอยู่เช่นกัน ด้วยความที่เห็นเขายิ้มสดใสอยู่ตลอด เธอจึงไม่เอะใจเท่าไรนัก แล้วกว่าที่จะรู้ตัวมือและยื่นมือออกไปคว้าเขาไว้ เธอก็ไม่รู้ว่ามือนั้นจะคว้ามาได้แค่ความว่างเปล่า หรือจะเป็นเขาจริง ๆ ที่กลับมา ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คุณตระหนักถึงความสำคัญของการยื่นมือไปหาคนที่คุณรัก ก่อนที่มันจะสายเกินไป
#ElleFanning #แอลแฟนนิง #นักแสดงฮอลลีวูด #หนังน่าดู #รีวิวหนัง #Hollywood #TheGreat #TheBeguiled








