การกลับมาของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ใช่เพียงการกลับสู่เวทีเก่าที่คุ้นเคย แต่คือการ “หวนคืนสู่ใจกลางวังน้ำวนทางการเมือง” ที่พัดแรงกว่าเดิม และเต็มไปด้วยคำถามที่รอการชี้ขาดจากทั้งเพื่อนร่วมพรรคและสังคมโดยรอบ
เพราะในทุกครั้งที่ชื่อ “อภิสิทธิ์” ปรากฏบนหน้าสื่อ มันไม่เคยเป็นเพียงเรื่องส่วนบุคคล แต่หมายถึงการสั่นสะเทือนในหัวใจของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความสุจริต อุดมการณ์ และความมีหลักการในทางการเมืองไทย
แต่หลังจากพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการเลือกตั้งปี 2562 พร้อมการประกาศ “ไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมในหมู่ผู้สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างหนัก พรรคประชาธิปัตย์ก็เข้าสู่ยุคตกต่ำยาวนาน สูญเสียทั้งเก้าอี้และศรัทธา จนบางคนถึงกับตั้งคำถามว่า “พรรคที่เคยเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยไทย ยังเหลือจุดยืนใดให้จับต้องได้หรือไม่”
วันนี้ เมื่ออภิสิทธิ์กลับมาอีกครั้ง สังคมย่อมย้อนมองไปยังรอยแผลเก่า โดยเฉพาะ “FC ลุงตู่” ที่ยังคงค้างคาใจว่า การไม่เลือกอยู่ข้างผู้นำฝ่ายอนุรักษ์นิยมในวันนั้น เป็นการปกป้องอุดมการณ์ หรือคือการคำนวณพลาดทางยุทธศาสตร์?
อัษฎางค์ ยมนาค นักวิเคราะห์การเมืองที่ติดตามเกมอำนาจอย่างใกล้ชิด จึงตั้งคำถามแทนประชาชนด้วยน้ำเสียงที่ตรงไปตรงมาและเปี่ยมด้วยความห่วงใย “การตั้งคำถามไม่ได้แปลว่าไม่ศรัทธา แต่คือความปรารถนาดีจากคนที่อยากเห็นประชาธิปัตย์กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”
และคำถามเหล่านั้นช่างคมราวใบมีด
“คุณอภิสิทธิ์เรียนรู้อะไรจากความพ่ายแพ้ในวันนั้น?”
“คุณยังเชื่อในจุดยืนเดิมหรือไม่?”
“จะปรับจุดยืนเพื่อประนีประนอมกับฝ่ายอนุรักษ์หรือยังคงยึดมั่นในหลักการเดิมอย่างไม่หวั่นไหว?”
“หรือท้ายที่สุด อุดมการณ์ของคุณจะกลายเป็นเพียง “ความดื้อรั้นทางการเมือง” ที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยอีกต่อไป?”
นี่คือคำถามที่แฟนคลับประชาธิปัตย์รุ่นเก่าอยากฟัง
และคือคำตอบที่ FC ลุงตู่ ตั้งใจรอฟังมากที่สุด
ในห้วงเวลาที่ประชาธิปัตย์พยายามฟื้นตัวจากการสูญเสียฐานเสียง ขณะเดียวกันก็ต้องประคับประคองความเชื่อมั่นจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจตัดสินอนาคตของพรรคไปพร้อมกัน เพราะเขาคือภาพจำของ “ประชาธิปัตย์สายอุดมการณ์” ที่พูดชัด ทำชัด และยอมเสียเพื่อสิ่งที่เชื่อว่าถูกต้อง
แต่โลกการเมืองหลังปี 2568 ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สนามเลือกตั้งกลายเป็นเวทีของ populism และความนิยมเฉียบพลัน มากกว่าอุดมการณ์ระยะยาว การยึดมั่นในศีลธรรม ความโปร่งใส และการเมืองสะอาด อาจฟังดูงดงาม แต่ในโลกจริงของอำนาจ มันกลายเป็นสิ่งที่ถูกมองว่า “ไม่ทันเกม”
ประชาธิปัตย์จึงเหมือนคนยืนกลางวังน้ำวน หากหันซ้ายก็เสี่ยงเสียอุดมการณ์ หากหันขวาก็อาจสูญศรัทธา และในจังหวะนี้ “อภิสิทธิ์” คือคนถือหางเสือที่ต้องเลือกว่าจะพายเรือทวนกระแส หรือปล่อยให้กระแสพัดพาไป
คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาจะกลับมาทำอะไร
แต่คือ “เขาจะกลับมาทำแบบเดิมหรือไม่?”
จะยังคงเป็นอภิสิทธิ์คนเดิมที่ยอมเดินคนเดียวเพื่อหลักการ
หรือจะเป็นอภิสิทธิ์คนใหม่ที่พร้อมยืดหยุ่นเพื่อให้พรรคอยู่รอด?
เพราะในสนามการเมืองไทย “ความถูกต้อง” มักแพ้ “ความนิยม”
และ “ศรัทธา” ก็อาจเปราะบางกว่าคำว่า “ชนะเลือกตั้ง” เสมอ
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ การกลับมาของอภิสิทธิ์ทำให้ประชาธิปัตย์กลับมามี “ความหวัง” อีกครั้งในสายตาของคนที่ยังเชื่อว่าพรรคนี้ไม่ควรหายไปจากแผนที่การเมืองไทย และการตั้งคำถามจากคนอย่างอัษฎางค์ ไม่ได้เกิดจากความเกลียดชัง แต่จาก “ความห่วงใย” ที่อยากเห็นคนดีมีที่ยืน
คำถามจึงไม่ใช่ว่า “อภิสิทธิ์จะกลับมาหรือไม่”
แต่คือ “พรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาพร้อมเขาได้จริงหรือเปล่า”
เพราะในวังน้ำวนที่หมุนแรงที่สุดในรอบหลายปีนี้
การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว อาจกำหนดชะตาทั้งชีวิตของพรรค
#อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ #พรรคประชาธิปัตย์ #FCลุงตู่ #อ่านเกมอำนาจ #ข่าวการเมืองล่าสุด