ประธานสภาเกษตรกรตราดจี้เกษตรกรยกระดับ 'ทุเรียนไทย' สู่มาตรฐานสากล สกัดวิกฤต 'ราคาต่ำร้อย' ด้วยการจัดการตั้งแต่ต้นน้ำทำได้“ทุเรียนไทย”จะได้รับการยอมรับ และเป็นแบรนด์ในระดับโลก
จากเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ "ทุเรียนจะต่ำ 100" ที่จัดขึ้นที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ องค์การบริหารส่วนจังหวัดตราด ซึ่งหอการค้าตราดและเครือข่ายสหกรณ์จังหวัดตราดจัดขึ้น ได้มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาเป็นเสมือน "การเตือนสติ" ทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมทุเรียนไทย ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออก ให้ตระหนักถึงโอกาสและความเป็นไปได้ที่ราคาจะตกต่ำ พร้อมทั้งมองหาปัจจัยและแนวทางแก้ไขเพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตดังกล่าวเกิดขึ้นจริง โดยผู้ร่วมเสวนาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการบูรณาการความร่วมมือและการยกระดับมาตรฐานการผลิตตั้งแต่ "ต้นน้ำ" เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดโลก
นายเรือง ศรีนาราง ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดตราด เปิดเผยว่า ผลผลิตของทุเรียนของจังหวัดตราดและภาคตะวันออกปี 2568-2569 ปริมาณจะเพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2567-2568 ร้อยละ 15 เป็นอย่างน้อย ซึ่งปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอาจจะเป็นปัญหาในเรื่องราคาทุเรียนจะต่ำลง แต่หากทุเรียนสามารถออกทยอยกันเป็นรุ่นๆ ซึ่งปกติทุเรียนจังหวัดตราดจะเริ่มออกก่อน และตามด้วยจังหวัดจันทบุรีและจ.ระยอง ซึ่งจะมี 2-3 ช่วง หหากเป็นเช่นนี้ราคาทุเรียนจะราคาไม่สวิงไปมามาก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างหากมีปัจจุัยในเรื่องอื่นๆ เช่นปีที่แล้วมีเรื่องสารแคดเมี่ยม แต่ปีนี้เราแก้ไขหมดแล้ว และเกษตรกรได้พัฒนาและยกระดับการปลูกได้ดีมากขึ้น จึงไม่น่าส่งผลกระทบใดๆ ส่วนผลไม้อื่นๆก็ไม่น่าห่วงมากนัก ทั้งมังคุดและเงาะ ยังมีตลาดที่จะกระจายออกไปได้ ส่วนเรื่องที่กัมพูชาไม่รับผลไม้จากไทยนั้น ไม่น่าจะกระทบเท่าใดเพราะมีจำนวนน้อยมาก และเกษตรกรของเราก็ขยายตลาดไปยังอินเดียแล้วจึงน่าจะช่วยได้มาก

ด้าน ดร.มณฑล ปริวัฒน์ นายกสมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด การเสวนาในหัวข้อ“ทุเรียนจะต่ำ100”นั้นเป็นแค่การสร้างแรงเตือนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน เพราะประสบการณ์ในปี 2567 ปัญหาสารแคดเมี่ยมได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของทุเรียนของไทยมากโดยเฉพาะภาคตะวันออก การจัดเสวนาในหัวข้อนี้ก็เพื่อเตือนให้เกษจรกรทุกคนต้องปรับตัว และพัฒนายกระดับการดูแลสวนผลไม้ ซึ่งต้องเริ่มต้นจาก การตรวจดิน-ตรวจน้ำที่เป็นหัวใจของการผลิต ซี่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือการจัดการในขั้นตอนการผลิต ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงของการเตรียมใบ เตรียมดอก และเตรียมผลผลิต ดังนั้น "การตรวจดิน ตรวจน้ำ" จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะทำให้เกษตรกรทราบถึง "สุขภาพของสวน" อย่างแท้จริง เมื่อรู้ถึงสุขภาพของดินและน้ำแล้ว จะสามารถจัดการได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะการจัดการกับปัญหาโลหะหนัก

“สำคัญกว่านั้นก็คือ วันนี้ ผู้บริโภคและตลาดไม่ได้มองหาเพียงแค่ทุเรียน "อร่อย" เท่านั้น แต่เขาขยับไปสู่คำถามที่เจาะลึกยิ่งขึ้น คือการทุเรียนว่า ปลูกอย่างไร ดูแลอย่างไร ปลอดภัยหรือไม่" สิ่งนี้สะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคในเรื่องของความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) นี่ไงที่เกษตรดรต้องรู้และต้อลทำตามความต้องการของผู้บริโภค“

นายปฏิวัติ กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของผลผลิตทุเรียนจากประเทศคู่แข่งย่อมส่งผลกระทบต่อราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไทยยังคงขายทุเรียนในฐานะ "สินค้าโภคภัณฑ์" (Commodity) ทั่วไป แต่หากมีการยกระดับสินค้าให้เป็น "แบรนด์ทุเรียนไทยที่มีมาตรฐานสูง ปลอดภัย มีมาตรฐานสากลรองรับ" ทุเรียนไทยก็จะแตกต่างจากทุเรียนทั่วไปทันที โดยมาตรฐานสากล เช่น การตรวจรับรองจากห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานสากล (Central LAB) และใช้มาตรฐานระดับโลกอย่าง GlobalGAP หรือ ISO จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ การมีมาตรฐานเหล่านี้ จะทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกมั่นใจและเลือกซื้อทุเรียนไทยก่อนประเทศอื่น และประเทศผู้นำเข้า เช่น จีน ก็จะไม่ได้อยู่ในสถานะ "บีบ" ราคา แต่จะอยู่ในสถานะที่ "แย่งซื้อ" ผลผลิตไทยที่มีคุณภาพสูงและสามารถพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัยและปราศจากสารโลหะหนัก นี่จะเป็นความสำเร็จของทุเรียนไทยในตลาดโลก
#ทุเรียนไทย #สภาเกษตรกรตราด #ทุเรียนตราด #ราคาทุเรียน #เกษตรกรไทย #ข่าวเศรษฐกิจ #สยามรัฐ